ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 4 เดือนพฤษภาคม 2022

Google พัฒนา AI แปลงข้อความเป็นรูปภาพได้สมจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

Google ได้พัฒนา advanced artificial intelligence ที่สามารถเปลี่ยนวลีใดๆ ให้กลายเป็นภาพถ่ายที่สมจริงได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่ง Google Research เรียกแบบจำลองนี้ว่า Imagen diffusion model ที่สามารถสร้างภาพที่เหมือนจริงได้ด้วย “ระดับความเหมือนจริงที่ไม่เคยมีมาก่อนและสามารถเข้าใจภาษาในระดับที่ลึกซึ้งได้”

AI ที่สามารถเปลี่ยนคำอธิบายข้อความสั้นๆ ให้เป็นรูปภาพได้ ไม่ใช่แนวคิดใหม่ของงานประเภทนี้ เพราะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา OpenAI ก็ได้มีการเปิดตัว AI Dall-E2 และสาธิตความสามารถในการสร้างรูปภาพโดยอิงตามคำอธิบายสั้นๆ เท่านั้นได้ และสามารถแก้ไขได้ด้วยชุดเครื่องมือง่ายๆ เพื่อปรับแต่งผลลัพธ์ แต่ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะน่าประทับใจ แต่ “ความสมจริงของแสง” ของภาพเหล่านั้นก็ยังไม่เหมือนจริงนัก

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับระบบของ OpenAI การเข้าถึง AI นี้โดยตรงนั้นยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เนื่องจาก Google ยังคิดว่า AI นี้ยังไม่พร้อมนำไปเผยแพร่ เพราะตัวอย่างทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้น ได้รับการ train มาจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ดึงมาจากอินเทอร์เน็ตและไม่ได้ดูแลจัดการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาและอาจถูกเข้าใจผิดได้หากเผยแพร่ต่อสาธารณะในปัจจุบัน

นักวิจัยกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าข้อมูลชุดย่อยของ training data ของเราจะถูกกรองเพื่อลบข้อมูลรบกวนและเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ภาพลามกอนาจารและภาษาที่ไม่พึงประสงค์ออก แต่ในการ train data เราก็ยังใช้ชุดข้อมูล LAION-400M ซึ่งทราบกันว่ามีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมมากมายรวมถึงภาพลามกอนาจาร การเหยียดเชื้อชาติ และ social stereotypes ที่ไม่เหมาะสมมาใช้ด้วย”

นักวิจัยพบว่า AI ได้แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ลำเอียงทางสังคมและมีแนวโน้มที่จะสร้างภาพของคนที่มีโทนสีผิวที่อ่อนกว่าและยัง stereotype เพศต่างๆด้วย

นักวิจัยกล่าวว่า “ในการทำงานในอนาคต เราจะสำรวจ framework ของ responsible externalization ที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างคุณค่าของ external auditing กับความเสี่ยงในการเข้าถึงแบบเปิดที่ไม่จำกัด” นักวิจัยกล่าว

อ้างอิง : https://petapixel.com/2022/05/24/google-ai-turns-text-into-images-with-unprecedented-realism/

 

งานวิจัยพบ AI ทำนายเชื้อชาติคนไข้ได้จากรูปภาพทางการแพทย์เท่านั้น

หนึ่งในปัญหาสำคัญของอัลกอริทึมคือการเรียนรู้ที่ผิดพลาดหรือเป็นอันตรายของมัน AI นั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้เมื่อมันสะท้อนความคิดที่ไร้สติ การเหยียดเชื้อชาติ และอคติของมนุษย์ที่ทำการสร้างมันนั้นขึ้นมา ตัวอย่างเช่น การทำนายจำเลยที่มีผิวดำนั้นมีโอกาสที่จะกระทำความผิดอีกครั้งเป็นสองเท่าของจำเลยที่มีผิวขาว หรือการใช้ AI ในการเขียนบทละครที่มีการคัดเลือกนักแสดงที่เห็นได้ชัดถึงทัศนคติแบบเหมารวม (stereotype)

เราสามารถเห็นถึงอคติจากเทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) จากตัวอย่างมากมายในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ของ MIT ได้ตรวจสอบรูปแบบข้อมูลชนิดอื่นที่สำคัญซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีคนสำรวจ นั่นก็คือ ภาพทางการแพทย์ (medical image) โดยทีมงานพบว่า AI สามารถทำนายเชื้อชาติของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำจากภาพทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวแม้ว่าภาพเหล่านั้นจะไม่มีการเอ่ยถึงเชื้อชาติของผู้ป่วยเลยก็ตาม ซึ่งทางทีมได้ใช้ข้อมูลภาพเอกซเรย์ทรวงอก เอกซเรย์แขนขา การสแกน CT ทรวงอก แมมโมแกรมและฝึกโมเดล deep learning เพื่อระบุเชื้อชาติว่าเป็นคน ขาว ดำ หรือเอเชีย ผลการทดสอบที่ได้ออกมานั้นถือว่าเป็นความสำเร็จที่แม้แต่แพทย์ที่ช่ำชองที่สุดก็ไม่สามารถทำได้ และที่สำคัญนั้นพวกเขาก็ยังไม่ชัดเจนว่าโมเดลนี้สามารถทำได้อย่างไร

ในความพยายามที่จะทำความเข้าใจกับ “วิธีการ” ที่ลึกลับของอัลกอริทึมนั้นนักวิจัยได้ทำการทดลองจำนวนมากเพื่อตรวจสอบกลไกที่เป็นไปได้ของการตรวจจับเชื้อชาติของอัลกอริทึม เพื่อตรวจสอบกลไกที่เป็นไปได้ของการตรวจจับเชื้อชาติ พวกเขาตรวจสอบดูตัวแปรต่างๆที่อาจจะเกี่ยวข้อง เช่น ความแตกต่างทางกายวิภาค ความหนาแน่นของกระดูก ความละเอียดของภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้ทีมสับสน เนื่องจากทีมวิจัยไม่สามารถระบุตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งที่สามารถใช้ได้ดีเพื่อทำนายผลลัพธ์สำหรับงานนี้ได้ หนึ่งในทีมวิจัย Marzyeh Ghassemi ได้กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากเพราะว่าโดยทั่วไปแล้วความสามารถเหนือมนุษย์ของอัลกอริทึมนั้นยากมากในการควบคุม กำกับ และป้องกันไม่ให้ส่งผลร้ายต่อผู้คน”

ในทางการแพทย์นั้น อัลกอริทึมเหล่านี้สามารถช่วยบอกเราได้ว่าผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการบำบัดด้วยเคมีหรือไม่ นอกจากนั้นยังช่วยกำหนดการพิจารณาคดีของผู้ป่วย หรือ ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องย้ายไป ICU อีกด้วย Leo Anthony Celi นักวิทยาศาสตร์การวิจัยหลักที่ MIT ได้บอกว่า “เราคิดว่าอัลกอริทึมทำการเรียนรู้เฉพาะสัญญาณชีพหรือการทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น แต่ก็เป็นไปได้ที่พวกมันจะเรียนรู้ข้อมูล เชื้อชาติ หรือเพศ ด้วยแม้ว่าข้อมูลทั้งหมดจะไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนก็ตาม” และยังได้กล่าวอีกว่า “เพียงเพราะคุณมีข้อมูลที่หลากหลายในอัลกอริทึมของคุณ มันก็ไม่ได้รับประกันว่ามันจะลดอคติหรือความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ การป้อนอัลกอริทึมด้วยข้อมูลที่หลากหลายไม่ใช่ทางออกเสมอไป งานวิจัยนี้น่าจะทำให้เราหยุดคิดทบทวนจริง ๆ ว่าเราพร้อมที่จะนำ AI มาไว้ข้างเตียงจริงๆหรือไม่”

การศึกษาหัวข้อ “AI recognition of patient race in medical imaging: a modeling study” ได้รับการตีพิมพ์ใน Lancet Digital Health เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม โดย Celi และ Ghassemi ได้เขียนเปเปอร์ร่วมกับผู้เขียนอีก 20 คนในสี่ประเทศ

อ้างอิง : https://news.mit.edu/2022/artificial-intelligence-predicts-patients-race-from-medical-images-0520

 

Pony.ai เสียใบอนุญาตทดสอบรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติพร้อมคนขับในแคลิฟอร์เนีย

กรมยานยนต์แห่งแคลิฟอร์เนียเพิกถอนใบอนุญาตของ Pony.ai ในการทดสอบเทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติพร้อมคนขับในวันอังคารที่ผ่านมา เนื่องจากล้มเหลวในการตรวจสอบบันทึกความปลอดภัยของ driver ในการทดสอบใบอนุญาต

โฆษกของ DMV กล่าวว่า “ในขณะที่ตรวจสอบใบสมัครของ Pony.ai เพื่อต่ออายุใบอนุญาตการทดสอบนั้น DMV ได้พบการละเมิดมากมายในบันทึกการขับขี่ของ Pony.ai safety drivers ตามข้อบังคับสำหรับพาหนะไร้คนขับของ DMV ที่กล่าวถึงความสำคัญของ safety driver ในการช่วยทดสอบระบบไร้คนขับ และ การที่ safety driver เหล่านั้นต้องมีประวัติที่ใสสะอาด DMV จึงได้สั่งระงับใบอนุญาต ซึ่งมีผลทันที”

ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากการเกิดการระงับใบอนุญาตขับขี่ของ Pony แบบ Autonomous Vehicle ที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ที่เบาะหน้าในการช่วยดูแลการขับขี่ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา หลังจากรายงานการชนกันในเมืองฟรีมอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งในขณะนั้น National Highway Traffic and Safety Administration ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นเพราะ software default ที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น จึงทำให้ในเดือนมีนาคม Pony จึงเรียกคืนรถสามคันที่มีปัญหาซอฟต์แวร์ที่คล้ายคลึงกันกลับมา

California DMV ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะของใบอนุญาตการทดสอบแบบไม่ใช้คนขับของ Pony ที่ถูกระงับ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ที่ DMV จะคืนสถานะใบอนุญาตแบบไร้คนขับของสตาร์ทอัพในเร็วๆ นี้

“เมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่สมเหตุสมผลต่อความปลอดภัยสาธารณะ DMV สามารถระงับหรือเพิกถอนใบอนุญาตได้ทันที” DMV กล่าว ดังนั้นจึงทำให้ปัจจุบัน Pony จึงไม่มีใบอนุญาตการทดสอบที่ใช้งานอยู่ในแคลิฟอร์เนีย

อ้างอิง : https://techcrunch.com/2022/05/24/pony-ai-loses-permit-to-test-autonomous-vehicles-with-driver-in-california/

 

เนคเทค สวทช. จับมือ สรรพากร นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยกระดับการบริการ ผู้เสียภาษีด้วยดิจิทัล

เนคเทค-สวทช. จับมือ สรรพากร นำ “แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย (AI FOR THAI : Thai AI Service Platform)” ยกระดับการบริการผู้เสียภาษีด้วยดิจิทัล ชี้ เป็นการต่อยอด “น้องอารี – AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะเรื่องภาษีสรรพากร”

กรมสรรพากร และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงออนไลน์ เรื่อง การพัฒนา ต่อยอด และถ่ายทอดเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล

ความร่วมมือกับเนคเทค-สวทช. ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อร่วมมือกัน “พัฒนาระบบและพัฒนาคน” ต่อยอด “น้องอารี – AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะเรื่องภาษีสรรพากร” ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพิ่มเติม เช่น การสร้างเสียงพูดจากข้อความ (Text-to-speech) การรู้จำเสียงพูด (Speech-to-text) เป็นต้น เพื่อยกระดับการบริการผู้เสียภาษีของกรมสรรพากรให้ตรงใจ และยกระดับบริการดิจิทัลภาครัฐให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านอุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์

นอกจากนี้ การลงนาม MOU ยังเป็นการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลวิชาการระหว่างกรมสรรพากร และเนคเทค-สวทช. ด้านการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาพัฒนาและยกระดับการบริการดิจิทัลภาครัฐยุคหน้าให้มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

ความร่วมมือกับกรมสรรพากรนี้ เนคเทค-สวทช. นำองค์ความรู้ ผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาร่วมยกระดับศักยภาพการบริการดิจิทัลภาครัฐ ด้วย AI Service – แปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech to Text) ด้วยผลงานวิจัย “แพลตฟอร์มระบบรู้จำเสียงพูดภาษาไทย พาที (Partii)” การตอบกลับการสนทนาอัตโนมัติ ด้วยผลงานวิจัย “แพลตฟอร์มระบบสนทนาอัตโนมัติ อับดุล (Abdul)” และ แปลงข้อความเป็นเสียงพูด (Text to Speech) ด้วยผลงานวิจัย “ซอฟต์แวร์สังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทยวาจา (VAJA)” สำหรับพัฒนาต่อยอดเป็น Voice bot เพื่อให้บริการสำหรับผู้เสียภาษี ในการติดต่อสอบถามขอรับข้อมูลการเสียภาษี และตอบโจทย์ด้านการพัฒนาบริการดิจิทัลภาครัฐ ในอนาคต เนคเทค-สวทช. มีแนวทางนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมภาครัฐ อาทิ Open data, Big data analytics มาร่วมสนับสนุนงานของกรมสรรพากรอีกด้วย

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/tech/1006131

 

อิสราเอลพัฒนา “รังผึ้งอัจฉริยะ” เลี้ยงดูผึ้งด้วยเทคโนโลยี AI

ผึ้ง นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศอย่างมาก นอกจากที่พวกมันจะสามารถผลิตน้ำหวานให้มนุษย์หรือสัตว์อื่นได้ลิ้มลองแล้ว ผึ้งยังเป็นปัจจัยสำคัญในการแพร่ขยายพันธุ์พืช

ด้วยเหตุนี้บริษัทสตาร์ตอัw Beewise จากอิสราเอลจึงได้พัฒนา “รังผึ้งอัจฉริยะ” ที่พักอาศัยอันแสนวิเศษสำหรับผึ้ง สามารถควบคุมการทำงานได้จากระยะไกล และเซนเซอร์ร่วมกับหน่วยประมวลผลที่ช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในรังผึ้งแบบเรียลไทม์ มีลักษณะคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ บริเวณหลังคาของรังผึ้งจะมีแผงโซลาเซลล์ช่วยผลิตพลังงานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายใน พร้อมด้วยระบบปรับอุณหภูมิให้มีความเหมาะสมสำหรับผึ้ง อีกทั้งยังช่วยไล่เหล่าแมลงที่เป็นศัตรูของผึ้งออกไปจากรังได้อีกด้วย

เมื่อเข้าไปภายในรังผึ้งอัจฉริยะขนาดใหญ่ จะพบกับชั้นที่บรรจุรวงผึ้งสำหรับเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผึ้งจำนวนมาก ซึ่งในแต่ละรวงจะมีเซนเซอร์ค่อยตรวจจับสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น อุณหภูมิ หรือความชื้น เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ดูแล จึงสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการเลี้ยงผึ้งแบบทั่วไป ที่บางครั้งกว่าจะพบปัญหาก็อาจทิ้งไว้เป็นเวลานานหลายเดือนจนกระทบต่อผึ้งทั้งรัง

ในกรณีที่เกิดความผิดปกติขึ้นกับผึ้งในรวงนั้น ๆ ผู้ดูแลสามารถควบคุมหุ่นยนต์ AI ที่อยู่ประจำแต่ละรวงผึ้งจากระยะไกล เพื่อทำการผสมและเจือยารักษาหรืออาหารให้แก่ผึ้ง อีกทั้งหุ่นยนต์ที่ควบคุมในรวงผึ้งยังสามารถรีดเก็บน้ำผึ้งได้เองอีกด้วย

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/114353/

 

รัฐนิวยอร์คส่ง ElliQ หุ่นยนต์เป็นเพื่อนผู้สูงอายุ

รัฐนิวยอร์คจะแจกจ่ายหุ่นยนต์ให้กับบ้านของผู้สูงอายุมากกว่า 800 คน. หุ่นยนต์เหล่านั้นจะไม่ได้เข้ามาช่วยงานทางกายภาพหรืองานที่ใช้กำลังแต่จะเข้ามาช่วยเป็นผู้ช่วยดิจิทัลเหมือนอย่าง Siri หรือ Alexa แต่มีลักษณะฟังก์ชันในเชิงรุกมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการพูดคุยสั้นๆ ช่วยเหลือติดต่อกับคนรัก และติดตามเป้าหมายด้านสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายและการใช้ยา โครงการนี้จัดขึ้นโดยสำนักงานเพื่อการสูงวัยแห่งรัฐนิวยอร์ก (NYSOFA) และมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแก้ปัญหาความโดดเดี่ยวทางสังคมที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ ปัจจุบันมีชาวอเมริกันอายุเกิน 65 ปีประมาณ 14 ล้านคนอาศัยอยู่ตามลำพังและตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในทศวรรษหน้าเมื่อคนรุ่น boomer มีอายุมากขึ้น ซึ่งมีผลการศึกษาจำนวนมากชี้ว่าความเหงาในระยะยาวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของแต่ละคนพอๆ กับการสูบบุหรี่.

Greg Olsen ผู้อำนวยการ NYSOFA กล่าวว่าหุ่นยนต์ชื่อ ElliQ ที่สร้างโดย บริษัท Intuition Robotics ในประเทศอิสราเอลจะเข้าสามารถช่วยจัดการกับปัญหาสุขภาพเหล่านี้ที่เพิ่มขึ้นได้ด้วยการส่งเสริมผู้สูงอายุให้สามารถอยู่คนเดียวได้และให้มอบมิตรภาพให้แก่ผู้สูงอายุเหล่านั้น Olsen ยังได้กล่าวว่า “ตัว ElliQ นั้นมีฟีเจอร์มากมายที่ดึงดูดผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น การจดจำปฏิสัมพันธ์กับแต่ละคน การมุ่งเน้นไปที่สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การลดความเครียด ช่วยการนอนหลับ ฯลฯ”

โดยทาง Intuition Robotics ได้เคลมว่า ElliQ นั้นสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจและสร้างความผูกพันกับผู้ใช้ได้ และหุ่นยนต์ของเขาสามารถจำรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับชีวิตของผู้ใช้และกำหนดลักษณะเฉพาะของตนเองให้ตรงกับผู้ใช้งานได้ อย่างเช่น มันจะเล่าเรื่องตลกมากขึ้นถ้าสังเกตเห็นผู้ใช้หัวเราะ และมีรายงานของสื่อแนะนำว่าหุ่นยนต์ตัวนี้นั้นสามารถดึงดูดผู้คนได้อย่างแน่นอนจากการทดสอบ

อย่างไรก็ตามการนำหุ่นยนต์ไปใช้ในการดูแลผู้สูงอายุมักเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ผู้สนับสนุนกล่าวว่าหุ่นยนต์เป็นเครื่องมือที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีมนุษย์ แต่ก็มีนักวิจารณ์ออกว่าเตือนว่าหุ่นยนต์เหล่านี้มีศักยภาพที่จะลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้งานและยังสะท้อนถึงสะท้อนสังคมที่มีไม่ให้ค่าต่อผู้สูงวัย มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่าหุ่นยนต์เพื่อสังคม “ดูเหมือนจะมีศักยภาพในการปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุ” แต่นักวิจัยก็บอกว่าเป็นการยากที่จะสรุปผลหากไม่มีการทดลองในวงกว้าง

อ้างอิง :  https://www.theverge.com/2022/5/25/23140936/ny-state-distribute-home-robot-companions-nysofa-elliq

 

PTT ตั้ง “บริษัท พี-ดิกเตอร์” ลุยธุรกิจเทคโนโลยี AI หุ่นยนต์ – ดิจิทัล

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท อัลฟ่าคอม จำกัด (“Alpha Com”) (บริษัทย่อยซึ่ง ปตท.ถือหุ้นทั้งหมด) ได้มีมติอนุมัติให้จัดตั้งบริษัท พี-ดิกเตอร์ จำกัด (“P-Dictor”) ด้วยทุนจดทะเบียนประมาณ 54.5 ล้านบาท ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจปัญญาประดิษฐ์สำหรับระบบซ่อมบำรุงเชิงพยากรณ์และการเฝ้าติดตามสภาพเครื่องจักรของโรงงานอุตสาหกรรม (Predictive Maintenance and Machine Monitoring AI for Industrial Solution) เพื่อช่วยคาดการณ์โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติกับเครื่องจักรอุปกรณ์ที่สำคัญของโรงงานทำให้สามารถวางแผนการผลิตและการบำรุงรักษาได้อย่างเหมาะสมลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อการเดินเครื่องการผลิตและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยให้บริการแก่โรงงานอุตสาหกรรมครอบคลุมทั้งในและนอกกลุ่ม ปตท.

ทั้งนี้การจัดตั้งบริษัทดังกล่าวสอดคล้องตามกลยุทธ์ New S-Curve ของปตท. ในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์และดิจิทัล ซึ่งได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2565

อ้างอิง : https://www.kaohoon.com/news/535027

 

บริษัทญี่ปุ่นร่วมมือโรงพยาบาลพัฒนา AI ตรวจมะเร็วตับอ่อนระยะแรก

Fujitsu และ โรงพยาบาล Southern Tohoku General ได้เริ่มการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ในการตรวจหามะเร็งตับอ่อนซึ่งได้รับการสนับสนุนระบบการแพทย์ของทางโรงพยาบาล โดยมะเร็งตับอ่อนนั้นเป็นโรคที่มีอัตราการรอดชีวิตนั้นต่ำมากเนื่องจากมักพบได้เมื่อมะเร็งลุกลามไปสู่สถานะที่ยากต่อการรักษา

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทาง Fujitsu และ โรงพยาบาล Southern Tohoku General ได้เริ่มโครงการวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่สามารถตรวจหาบริเวณที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนจากภาพ CT scan (non-contrast) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะแรก โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีตรวจหาบริเวณที่น่าสงสัยที่ได้รับผลกระทบจากมะเร็งตับอ่อนโดยการฝึกฝน AI จากข้อมูล CT scan ของผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนที่จำนวน 300 คน จากโรงพยาบาล the Southern Tohoku General และนำเสนอวิธีการวิเคราะห์ภาพที่เหมาะสมที่สุดโดยพิจารณาจากรูปร่างของอวัยวะและเนื้องอกมะเร็ง และด้วยเทคโนโลยี AI ทีมวิจัยคาดว่าการ CT scan (non-contrast) ซึ่งยังไม่เคยเป็นหัวข้อของการวิจัย AI มาก่อน แต่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการตรวจสุขภาพ จะสามารถใช้เพื่อช่วยตรวจหาบริเวณที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนและให้แพทย์ส่งตัวผู้ป่วยไปที่แผนกระบบทางเดินอาหารเพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดได้ทันท่วงที มากไปกว่านั้นเป้าหมายของทีมวิจัยคือการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับการ CT scan ทั่วโลก

โรคมะเร็งตับอ่อนตรวจพบยากมากเนื่องจากความละเอียดที่ต่ำของ non-contrast CT scan ทำให้ยากต่อการค้นหาส่วนของตับอ่อนเนื่องจากขอบเขตระหว่างตับอ่อนกับอวัยวะอื่นๆนั้นไม่ชัดเจน ทีมวิจัยเลยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของตับอ่อน และตรวจหาส่วนที่น่าสงสัยว่าจะได้รับผลกระทบจากมะเร็งโดยการประมาณความต่อเนื่องระหว่างภาพหน้าตัดขวางหน้าและหลัง และทำการวิเคราะห์สามมิติโดยอัตโนมัติสำหรับภาพหน้าตัดขวางหน้าและหลังในพื้นที่ที่มีความต่อเนื่องสูงรวมถึงวิเคราะห์ระนาบในบริเวณที่มีความต่อเนื่องต่ำ ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถมองเห็นความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยระหว่างตับอ่อนปกติ (ที่มีสุขภาพดี) กับส่วนที่น่าสงสัยที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมะเร็งตับอ่อนจาก CT scan เพื่อตรวจหาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงของมะเร็งตับอ่อน เทคโนโลยีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนแพทย์ในการให้ภาพวินิจฉัยภาพที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มากขึ้น และช่วยให้พวกเขาส่งต่อผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับอ่อนไปการตรวจอย่างละเอียดเพื่อตรวจหามะเร็งตับอ่อนในระยะเริ่มแรกในขั้นตอนต่อไป

ปัจจุบันการวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้นตอนกำลังดำเนินการในอนาคตทางทีมวิจัยเชื่อว่าพวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ผู้คนสามารถอยู่อย่างมีสุขภาพดีได้โดยนำผลการวิจัยของพวกเขาไปประยุกต์ใช้กับการรักษาพยาบาลและการบริการส่งเสริมสุขภาพอย่างกว้างขวาง

อ้างอิง :  https://www.news-medical.net/news/20220524/Using-AI-to-Achieve-Earlier-Diagnosis-of-Pancreatic-Cancer.aspx

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 20 – 26 พฤษภาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก