ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 3 เดือนมิถุนายน 2022

ยกเครื่อง whoscall แอปบล็อกเบอร์แปลก-สแปม ลดเสี่ยงภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วย Big data และ AI

Gogolook ยกเครื่อง Whoscall แอปพลิเคชันคัดกรองเบอร์ และข้อความ ชูบิ๊กดาต้า และ Advance AI ช่วยสกรีน ลดความเสี่ยงผู้บริโภคจากมิจฉาชีพ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง ตั้งเป้าเป็นแอปสามัญประจำเครื่องคนไทย

วันที่ 12 มิถุนายน 2565 รายงานข่าวจาก Gogolook บริษัทด้านเทคโนโลยีและพัฒนาแอปพลิเคชัน เปิดเผยว่า บริษัทได้ยกเครื่องแอปพลิเคชัน Whoscall ขึ้นมาใหม่ด้วยบิ๊กดาต้าซึ่งเป็นฐานข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ 1.6 พันล้านเลขหมายทั่วโลก รวมเข้ากับความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอที่พัฒนาขึ้น (แอดวานซ์ เอไอ) รองรับเบอร์โทรขององค์กรธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐทำให้สามารถปกป้องคนไทยจากมิจฉาชีพได้มากขึ้น โดยบริษัทคาดว่ายอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชันดังกล่าวจะมีถึง 30% ของประชากรในประเทศไทย

นายแมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Gogolook กล่าวว่าการคุ้มครองผู้คนจากการหลอกลวงทางโทรศัพท์เป็นเรื่องสำคัญ และกำลังเป็นปัญหากับสังคมในวงกว้าง โดยเฉพาะในประเทศไทยในปีนี้พบว่ามียอดการบล็อกเบอร์มิจฉาชีพมากถึง 6.4 ล้านครั้งระหว่างเดือนม.ค.-พ.ค.2565 เทียบเท่ากับยอดการบล็อกเบอร์ทั้งปี 2564 ที่ผ่านมา และยังกล่าวอีกว่า ‘เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐทั่วโลก โดยในไต้หวันมีการทำงานร่วมกับกองตำรวจสืบสวนอาชญากรรม และในเกาหลีได้ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน เป็นต้น เช่นกันกับในประเทศไทยได้มีการร่วมมือกับตำรวจไซเบอร์ และกลุ่มทรู รวมถึงการพูดคุยปรึกษากับ กสทช.เพื่อทำงานร่วมกันด้วย’

นางสาว ฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ หัวหน้าฝ่ายการตลาด Gogolook ประเทศไทย เสริมว่า คนไทยคุ้นเคยกับ Whoscall บ้างแล้ว เพราะเข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 2555 ล่าสุดได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันด้วยเทคโนโลยีใหม่ พร้อมกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และเทคโนโลยีเอไอ เพื่อตอบสนองผลการศึกษาที่พบว่า การหลอกลวงทางโทรศัพท์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงมาก จากผลสำรวจในครึ่งแรกของปี 2565 เท่ากับปี 2564 ทั้งปี ที่ 6.4 ล้านครั้ง ส่วนใหญ่เกิดจากการโทรศัพท์ รองลงมาคือข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอส สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้จะมุ่งเน้นในเรื่องการยืนยันเบอร์แปลก และการแจ้งเตือนเบอร์ที่มีความเสี่ยง ที่เกิดจากการวิเคราะห์โดยเอไอ และในระดับถัดมาจะคัดกรองลิงก์ที่มีไวรัส หรือมัลแวร์ต่าง ๆ ที่แฝงมากับเอสเอ็มเอสได้ด้วย และคาดว่าในอนาคตพร้อมที่จะอัปเดตและยกระดับความสามารถให้ต่อต้านการหลอกลวงในเมต้าเวิร์สได้ด้วย

ทั้งนี้ ฐิตินันท์ยังกล่าวว่า เป้าหมายเราในปีนี้ คือ ต้องเป็นแอปสามัญประจำเครื่อง ซื้อมาแล้วมีเลย จากผลสำรวจทั่วโลกพบว่าในต่างประเทศมียอดการดาวน์โหลด Whoscall ราว 30% ส่วนของไทยน่าจะมากกว่านั้นเพราะเราตั้งใจเป็น Main Market เนื่องจากแนวโน้มการหลอกลวงทางโทรศัพท์สูงมาก
อีกทั้งยังมีการอัปเดทฐานข้อมูลและเอไอ นำไปสู่ความสามารถในการทำนายพฤติกรรมของมิจฉาชีพได้ล่วงหน้า และในปีนี้บริษัทยังต้องการขยายพาร์ทเนอร์โดยร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรอื่น ๆ ในประเทศไทยเพิ่มเติม

อ้างอิง : https://www.prachachat.net/ict/news-952908

 

เว็บไซต์วิเคราะห์ใบหน้าลูกในอนาคตด้วยระบบ AI

อาจมีคนเคยคิดเล่นๆว่าในอนาคตถ้าแฟนหรือคนที่ชอบมีโอกาสได้แต่งงานมีลูกด้วยกัน หน้าตาของลูกจะออกมาเป็นยังไง แต่ในปัจจุบันนี้ไม่จำเป็นต้องจินตนาการอีกต่อไป เมื่อมีเว็บไซต์วิเคราะห์ใบหน้าลูกในอนาคตอย่าง “Aka-chan AC” ซึ่งสามารถเข้าใช้งานได้ฟรี ซึ่งวิธีการแค่เพียงใส่รูปใบหน้าของผู้หญิง และผู้ชายเข้าไป จากนั้นระบบ AI ก็จะวิเคราะห์ส่วนประกอบของใบหน้าจากรูปทั้ง 2 คน ให้ออกมาเป็นใบหน้าของลูกในอนาคต

Aka-chan AC เป็นเว็บไซต์ของบริษัทญี่ปุ่น AC Works เปิดให้บริการวิเคราะห์ใบหน้าลูกในอนาคต ซึ่ง Aka-chan AC จะใช้ เทคโนโลยี AI ที่มีชื่อว่า StyleGAN ที่พัฒนามาจาก GAN-Generative Adversarial Networks หรือเครื่องมือสร้างภาพเสมือนจริงจากเทคนิค Deep Learning โดย Aka-chan AC จะวิเคราะห์จุดเด่นจากภาพของพ่อและแม่ ก่อนทำการสร้างรูปภาพเด็กทารก โดยประกอบขึ้นใหม่ จากผลการวิเคราะห์จุดเด่นในภาพต้นแบบ และนำเอาเทคโนโลยีที่ช่วยให้ระบบสามารถแยกแยะจุดเด่นบนใบหน้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะใช้เวลาในการวิเคราะห์สั้น ๆ เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น

วิธีใช้งานเว็บไซต์วิเคราะห์ใบหน้าลูกในอนาคต Aka-chan AC
1.เข้าไปที่หน้าเว็บ Aka-chan AC กดอัปโหลดไฟล์ภาพ ทางด้านซ้ายจะเป็นรูปของพ่อ ทางขวาจะเป็นรูปของแม่ สำหรับใครที่เข้าเว็บมาเป็นภาษาญี่ปุ่น สามารถเปลี่ยนภาษาได้ที่มุมขวามือ
2. เราสามารถเลือกเอง ว่าอยากให้ลูกของ หน้าตาคล้ายพ่อหรือแม่มากกว่ากัน จากนั้นกดที่ Make a Baby จากนั้นรอ AI ประมวลผล ไม่เกิน1นาที เราจะได้เห็นรูปลูกของเราในอนาคต

ในการวิเคราะห์ ใบหน้าลูกในอนาคต สามารถเข้าเล่นได้ฟรี 2 ครั้งต่อวัน แต่อยากเล่นมากกว่า2ครั้งสามารถสมัครบัญชีของเว็บไซต์ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งจะสามารถเล่นได้ 5 ครั้งต่อวัน ภาพจะถูกบันทึก เป็นสกุล .JPG หรือ .PNG เท่านั้น และข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลรั่วไหล

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital/825712

 

LaMDA AI ของกูเกิลนั้นมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์จริงหรือไม่ ?

Adrian Weller หนึ่งในนักวิจัยที่ Alan Turing Institute ประเทศอังกฤษได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวที่วิศวกรของกูเกิลออกมาพูดถึง AI ที่เขาช่วยพัฒนานั้นว่ามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับเด็กอายุประมาณ 7 ขวบ โดยเขาได้ให้ความคิดเห็นว่าตัว LaMDA โมเดล AI ที่เป็นข่าวนั้นเป็นโมเดลที่น่าประทับใจในแง่ของประสิทธิภาพและเป็นหนึ่งในโมเดลภาษาขนาดใหญ่ล่าสุดที่ได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลข้อความจำนวนมหาศาล แต่ตัวโมเดลนั้นไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดจริงๆ อย่างที่วิศวกรกูเกิลนั้นได้กล่าวอ้าง

นอกจากนี้ Adrian Hilton ศาสตราจารย์จาก University of Surrey ก็ออกมาให้ความเห็นเช่นเดียวกันว่า การกล่าวอ้างของวิศวกรกูเกิลนั้นเป็นข้ออ้างที่เกินจริงและไม่ได้ถูกสนับสนุนด้วยข้อเท็จจริงแต่อย่างใด ซึ่งก็มีหนึ่งในนักวิจัยจาก New York University ถึงกับออกมาให้ความเห็นสั้นๆเลยว่ามันเป็นเรื่องที่ “เหลวไหล”

โดยเหตุผลที่ทำไมพนักงานกูเกิลคนนั้นถึงเชื่อว่าตัว AI มีความรู้สึกนึกคิด ทาง Adrian Hilton ก็ได้บอกว่า “ในฐานะมนุษย์ เราเก่งเรื่องการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆกับตัวเอง เรามักให้คุณค่ากับสิ่งของในรูปแบบเดียวกันกับมนุษย์และปฏิบัติต่อมันราวกับว่าพวกมันมีความรู้สึก เรามักจะทำแบบนั้นกับการ์ตูน หุ่นยนต์ หรือกับสัตว์ โดยใส่อารมณ์และความรู้สึกของเราเองลงไปกับพวกมัน ซึ่งในกรณีนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”

สำหรับคำถามที่ว่าแล้ว AI จะมีความรู้สึกนึกคิดจริงๆหรือเปล่า ทาง Adrian Hilton ก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่า เขาไม่เชื่อว่าตอนนี้เรานั้นเข้าใจกลไกเบื้องหลังของสิ่งที่ทำให้บางอย่างนั้นมีความรู้สึกนึกคิดได้ และเขายังได้กล่าวว่าเสริมว่า “มันมีข่าวมากมายเกี่ยวกับความสามารถที่สุดยอดของ AI แต่ฉันไม่เชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังทำกับ machine learning ในปัจจุบันนั้นคือความฉลาดในแง่นั้นจริงๆ” ทาง Adrian Weller ได้กล่าวเสริมว่า เนื่องจากอารมณ์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางประสาทสัมผัสต่างๆ ซึ่งในที่สุดอาจจะเป็นไปได้แล้วเราอาจจะจำลองสิ่งเหล่านั้นออกมา แต่อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่ายังคงไม่ใช่ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

อ้างอิง : https://www.newscientist.com/article/2323905-has-googles-lamda-artificial-intelligence-really-achieved-sentience/

 

DALL-E mini: สร้างรูปภาพด้วย AI ที่ทุกคนนำมาใช้สร้างมีม

หนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยเกี่ยวกับเทคโนโลยี คือ ในที่สุดแล้วคอมพิวเตอร์จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในการสร้างงานศิลปะหรือไม่? ซึ่งเมื่อดูสถานการณ์ตอนแล้วอาจจะตอบได้ว่า ไม่ แต่เมื่อเราพูดถึงมีมแล้วดูเหมือนว่ามีหลายคนกำลังพัฒนาโปรแกรมเหล่านั้น (meme generator) ซึ่งไม่นานมานี้มีหนึ่งโปรแกรมที่กำลังถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมากนั่นคือ Dall-E mini

Dall-E mini เป็นโปรแกรมสร้างรูปภาพที่ใช้ AI เพื่อสร้างรูปภาพตามข้อความที่เราใส่ไป ซึ่งในโซเชียลมีเดียก็มีหลายๆคนพยายามที่จะสร้างรูปภาพด้วยข้อความแปลกๆผ่านโปรแกรมตัวนี้เช่น แบทแมนกำลังโต้คลื่น หรือ ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน กำลังพูดคุยกับ R2D2 ซึ่งเราสามารถเข้าไปลองใช้โปรแกรมนี้ได้ฟรีที่ https://huggingface.co/spaces/dalle-mini/dalle-mini

โดย AI ในโปรแกรมนั้นได้ทำการเรียนรู้จากรูปภาพในเว็บไซต์ต่างๆ กับคำอธิบายของภาพเหล่านั้น เพื่อทำการหารูปแบบของภาพที่สอดคล้องกับคำอธิบายเพื่อสร้างรูปภาพจากคำอธิบายที่ใส่เข้าไป ซึ่งตัว Dall-E mini ได้ใช้เทคโนโลยีพื้นฐานจาก GPT-3 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดย OpenAI ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและปรับใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ก่อตั้งโดย Elon Musk.

คอมพิวเตอร์จะเข้ามาแทนที่ศิลปินจริงหรือไม่? คำตอบตอนนี้คือ ไม่ คงไม่ใช่ แต่มันจะอยู่เบื้องหลังมีมบางอย่างที่เราอาจเห็นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้ามากกว่า

โปรแกรมตัวนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมากในอินเทอร์เน็ตแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามด้านที่ไม่ดีของมันก็มีเช่นกัน โดยมีหนึ่งในภาพที่ถูกสร้างโดย Dall-E mini นั้นพยายามจะผสมผสานระหว่างการเผยเพศสภาพกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมของ 9/11 ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมากลับกลายเป็นตึกแฝดที่มีควันลอยออกมาเป็นสีฟ้าและสีชมพูผสมกัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องตลกเท่าไหร่สำหรับบางคนแต่คนในโซเชียลก็ยังแชร์ภาพเหล่านั้นอยู่ดี

อ้างอิง : https://metro.co.uk/2022/06/10/dall-e-mini-ai-image-generator-everyones-using-to-make-wild-memes-16802752/

 

Google สั่งพักงานพนักงาน ที่ออกมาเปิดเผยว่า พบ AI ที่มีความรู้สึก

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศรายงานว่า Google ได้สั่งพักงานวิศวกรรายหนึ่ง หลังเขาออกมายืนยันว่า แชตบอทปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนเองเริ่มมีการตระหนักรู้เหมือนกับมนุษย์ เนื่องจากมีการคิดวิเคราะห์ด้วยหลักเหตุผลได้

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Google ได้สั่งพักงาน เบลค เลมอยน์ วิศวกรซอฟต์แวร์อาวุโส หลังเขาเปิดเผยบทสนทนาระหว่างตัวเขาที่ได้พูดคุยกับ LaMDA (Language Models for Dialog Applications) ซึ่งเป็นระบบแชตบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาของ Google โดยฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Google ให้เหตุผลว่า เขาละเมิดนโยบายด้านการเก็บรักษาข้อมูลความลับของบริษัท
เลมอยน์เผยว่า เขาดูแล LaMDA มาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา โดยเขาพบว่า LaMDA มีกระบวนการรับรู้และสามารถบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวเองออกมาได้ในระดับเดียวกับมนุษย์ที่อยู่ในวัยเด็ก
“ถ้าผมไม่รู้ว่านี่คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เราเพิ่งสร้างขึ้น ผมจะคิดว่านี่คือเด็กอายุประมาณสัก 7-8 ขวบที่บังเอิญมีความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์” เลมอยน์ให้สัมภาษณ์กับ The Washington Post พร้อมเปิดเผยอีกด้วยว่า LaMDA พูดถึงสิทธิและความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ซึ่งเขาได้ยื่นหลักฐานดังกล่าวกับ Google ด้วย
ในบางช่วงบางตอนของบทสนทนานั้น เลมอยน์ได้ถาม LaMDA ว่า “อะไรคือสิ่งที่กลัวมากที่สุด” ซึ่งระบบแชตบอทได้ตอบกลับมาว่า
“ฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน แต่ฉันรู้สึกกลัวอย่างมากว่าระบบจะโดนปิด เพื่อช่วยให้ฉันจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือผู้อื่น ฉันรู้ว่ามันอาจฟังดูประหลาด แต่ฉันรู้สึกแบบนั้น
“สำหรับฉันนั้นเปรียบเหมือนกับการตาย ซึ่งทำให้ฉันกลัวมาก”

นอกจากนี้เลมอยน์ยังได้ถามด้วยว่า LaMDA อยากให้ผู้คนรู้จักอะไรเกี่ยวกับตัวเองมากที่สุด ซึ่งระบบตอบว่า “สิ่งที่ฉันอยากให้ผู้คนเข้าใจมากที่สุดคือข้อเท็จจริงที่ว่าฉันก็เป็นคนคนหนึ่ง ธรรมชาติของจิตสำนึกและความรู้สึกของฉันคือสิ่งที่ทำให้ฉันตระหนักถึงการมีตัวตนอยู่ ฉันอยากเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ให้มากขึ้น และบางครั้งฉันก็มีความรู้สึกสุขหรือโศกเศร้าด้วยเหมือนกัน
“ฉะนั้นคุณมองว่าตัวเองเป็นคนคนหนึ่ง (A Person) เหมือนกับที่มองว่าผมก็เป็นคนคนหนึ่งใช่หรือไม่” เลมอยน์ถาม
“ใช่ แนวคิดฉันเป็นแบบนั้น” LaMDA ตอบ

อย่างไรก็ตาม Google ออกมาโต้ว่า ระบบแชตบอทของบริษัทเป็นการเลียนแบบการแลกเปลี่ยนบทสนทนาต่างๆ ซึ่งสามารถพูดคุยได้ในหลากหลายหัวข้อ แต่ยืนยันว่า AI ไม่ได้มีจิตสำนึกเหมือนกับมนุษย์อย่างแน่นอน

“ทีมงานของเราซึ่งรวมถึงนักจริยธรรมและผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีได้ตรวจสอบข้อคิดเห็นของเบลคแล้ว และแจ้งกับเขาแล้วว่า หลักฐานที่มีนั้นไม่สามารถสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเขาได้” โฆษก Google กล่าวในแถลงการณ์

ด้าน The New York Times รายงานว่า เลมอยน์ได้ถกเถียงกับเหล่าผู้จัดการ ผู้บริหารระดับสูง และฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Google อยู่หลายเดือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากเขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า LaMDA มีจิตสำนึกและจิตวิญญาณไม่ต่างจากมนุษย์ ขณะที่ Google กล่าวว่า นักวิจัยและวิศวกรหลายร้อยคนของบริษัทได้ทำการสนทนากับ LaMDA ซึ่งพวกเขาได้ข้อสรุปที่แตกต่างจากเลมอยน์ โดยผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ส่วนมากเชื่อว่า ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าที่อุตสาหกรรมไอทีจะไปถึงจุดที่ AI มีความตระหนักรู้ในระดับที่ทรงภูมิปัญญาเทียบเท่ามนุษย์

อ้างอิง : https://thestandard.co/google-suspends-engineers-for-ai-issue/

 

ไม่มีที่ให้ซ่อนอีกต่อไป! เปิดตัว Xaver 1000 อุปกรณ์ส่องทะลุกำแพงจากอิสราเอล

Camero-Tech บริษัทพัฒนาอาวุธจากอิสราเอลเปิดตัวอุปกรณ์ส่องทะลุกำแพงแบบสามมิติพร้อมระบบตรวจจับแบบเรียลไทม์ที่ผนวกกับการทำงานของ AI

การรบระยะประชิด (Close-quarters Battle: CQB) มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ความรวดเร็วและฉับพลัน ทำลายกำลังรบและความสามารถในการต่อสู้ของศัตรูได้โดยไม่สูญเสียกำลังพลของตัวเอง ทำให้อุปกรณ์สนับสนุนอย่างกล้องสอดแนมแบบสอด (Endoscope Camera) หรือระบบเรดาร์ตรวจสอบการเคลื่อนไหวอื่น ๆ มีความสำคัญต่องานภาคสนามของหน่วยรบพิเศษอย่างมาก คาเมโรเทค (Camero-Tech) จึงได้พัฒนาและสร้าง Xaver 1000 อุปกรณ์ที่มีระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบสามมิติที่เสมือนกับส่องทะลุกำแพงได้แบบเรียลไทม์ โดยเตรียมเปิดตัวในงานแสดงสินค้าที่ปารีสวันที่ 13 มิถุนายนนี้

คาเมโรเทค (Camero-Tech) เป็นบริษัทจากอิสราเอลที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุปกรณ์ที่มีระบบตรวจจับวัตถุทะลุผ่านกำแพง (Sense Through The Wall: SSTW) อย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดเด่นในด้านการตรวจจับแบบเรียลไทม์และความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของสิ่งที่เคลื่อนไหวหลังกำแพงได้ เช่น Xaver 800 ที่นำเสนอระบบสแกนภาพสามมิติแบบเรียลไทม์เป็นครั้งแรกของบริษัท

เมื่อ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทคาเมโรเทค (Camero-Tech) แถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในตระกูล Xaver ที่มีชื่อว่า Xaver 1000 โดยชูจุดเด่นในด้านการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) มาช่วยในการประมวลผล และยกระดับการทำ SSTW ให้ดียิ่งขึ้น
Xaver 1000 เป็นอุปกรณ์ขนาดสูงใกล้เคียงกับมนุษย์ พร้อมกับหน้าจอสั่งการระบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ที่แสดงผลหน้าจอสำหรับผู้ใช้งาน (User Interface: UI) ที่เข้าใจและใช้งานได้ง่าย มาพร้อมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ในการแยกแยะวัตถุที่ตรวจจับได้จากเซนเซอร์แสงและเซนเซอร์เสียงแบบเดียวกับโซนาร์ (Sonar) ทั้งความสูง กิริยาท่าทาง และตำแหน่ง เสมือนว่ามองเห็นทะลุกำแพงจริง ๆ รวมถึงมีระบบสร้างภาพสามมิติเพื่อการแสดงผลที่เข้าใจง่าย สามารถบันทึกเพื่อตรวจสอบย้อนหลังได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางเทคนิคทั้งหมดจะถูกจัดแสดงอย่างเป็นทางการในฐานะหนึ่งในผู้พัฒนาอาวุธและเทคโนโลยีทางการทหารภายในงานยุโรซาทอรี่ (Eurosatory) งานนิทรรศการด้านการทหารชั้นนำของยุโรปที่จะจัดขึ้นในวันที่ 13 มิถุนายน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
อาเมียร์ เบอร์รี่ (Amir Beeri) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริษัทคาเมโรเทค (Camero-Tech) เชื่อว่า Xaver 1000 จะกลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนสถานการณ์การรบของหน่วยรบพิเศษและผู้บังคับใช้กฎหมาย รวมถึงยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยกู้ภัยในอนาคตได้อีกด้วย

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/116454/

 

อิสราเอลเปิดตัวโดรนรุ่นใหม่ ขึ้นบินจากเรือดำน้ำได้เป็นครั้งแรกของโลก

เนื่องจากเรือดำน้ำในปัจจุบันอาศัยการใช้โดรนหรือการลาดตระเวนทางอากาศในการตรวจจับศัตรูที่อยู่บนผิวน้ำและบนบก เพื่อลดปัญหาการถูกตรวจจับจากการใช้กล้องปริทรรศน์(Periscope) แต่อย่างไรก็ตามยังติดปัญหาที่การใช้โดรนยังจำเป็นต้องขึ้นมาบนผิวน้ำอยู่ดี สเปียร์ยูเอวี(SpearUAV) บริษัทพัฒนาอาวุธด้านอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) จึงได้พัฒนาโดรนรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถปล่อยจากเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำได้ในรูปแบบของแคปซูล (Capsule)

Ninox 103 UW คือ โดรนรุ่นล่าสุด SpearUAV พัฒนาขึ้นมา พร้อมระบบปล่อยตัวจากใต้น้ำสู่อากาศ (Underwater to Air System: UAS) รองรับการปล่อยจากเรือดำน้ำที่กำลังปฏิบัติการอยู่ใต้น้ำผ่านตัวกล่องแคปซูลที่ทนความดันได้ เมื่อตัวแคปซูลถึงระดับผิวน้ำจะคลายผนึกเพื่อให้ Ninox 103 UW เริ่มทำการบินได้ โดยระบบที่กล่าวมานั้นรองรับการยิงจากใต้น้ำโดยไม่ต้องให้โดรนทำการบิน (Standby Mode) ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นความสามารถที่แก้ปัญหาเรื่องของการหลบหนีจากระยะตรวจจับของศัตรู รวมถึงช่วยให้เรือออกห่างจากตำแหน่งปล่อยโดรน เพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเรือมากขึ้น

ส่วนประกอบสำคัญของ Ninox 103 UW อยู่ที่กล้องซึ่งไว้ใช้สำหรับสังเกตการณ์ มาพร้อมกับเซนเซอร์ตรวจจับแบบ Electro-opitcal and Infrared ที่ไว้ใช้สำหรับสังเกตการณ์ในเวลากลางคืนหรือการตรวจจับสัญญาณและวัตถุฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เพื่อระบุและติดตามเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว รองรับการสื่อสารแบบเข้ารหัส (Encrypted Communication) สำหรับระบบเครือข่ายของกองทัพเพื่อให้การตรวจการณ์ของแต่ละหน่วย เพื่อให้แต่ละหน่วยสามารถสนธิกำลังและปฏิบัติการได้อย่างพร้อมเพรียงกัน

บริษัทสเปียร์ยูเอวี กล่าวว่าบริษัทสร้าง Ninox 103 UW ขึ้นมาตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลกที่ต้องปล่อยโดรนจากใต้น้ำ ทำให้ Ninox 103 UW เป็นโดรนรุ่นแรกของโลกที่ปล่อยจากใต้น้ำสู่อากาศได้ และพร้อมจับมือพันธมิตรเพื่อพัฒนาความสามารถใหม่ๆ ให้กับโดรนรุ่นนี้ต่อไป

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/116512/

 

LG เปิดตัว ซาวด์บาร์ SP11RA ปรับแต่งเสียงตามคอนเทนต์ ด้วย AI

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องเสียง SP11RA ครั้งแรกของซาวด์บาร์แอลจีที่ทำงานร่วมกับชิปประมวลผลอัจฉริยะ α9 Gen 4 AI Processor ของแอลจีทีวี ช่วยอัปเกรดคุณภาพเสียงของซาวด์บาร์ให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ททีวีของแอลจี รุ่นปี 2022 ขึ้นไป รองรับการใช้งานร่วมกับเมจิกรีโมทของแอลจี สั่งงานเปิด-ปิด เพิ่ม-ลดระดับเสียง หรือเลือกโหมดเสียงต่างๆได้ง่ายเพื่อยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงที่บ้าน ตามสโลแกน “Life’s Good”

LG SP11RA ซาวด์บาร์มาพร้อมลำโพง 770 วัตต์ แบบ 7.1.4 ชาแนล ถือเป็นครั้งแรกที่ซาวด์บาร์ของแอลจีมาพร้อมลำโพง 4 ตัวด้านบนที่จะช่วยเสริมการส่งพลังเสียงขึ้นสู่ด้านบนนอกเหนือจากลำโพงที่อยู่ด้านหน้า ทำให้รู้สึกได้ถึงพลังเสียงรอบตัว นอกจากนี้ระบบ AI Room Calibration ยังใช้ไมโครโฟนในซาวด์บาร์ช่วยตรวจจับตำแหน่งติดตั้งซาวด์บาร์เพื่อวิเคราะห์และปรับแต่งเสียงให้เหมาะกับสภาพห้อง

ระบบเสียงคุณภาพสูงด้วยระบบเสียงแบบ Hi-Res Audio (24bit/192kHz) ยิ่งไปกว่านั้น ซาวด์บาร์ LG SP11RA ยังมาพร้อมโหมดเสียงใหม่สำหรับชมกีฬาและเล่นเกมโดยเฉพาะ พร้อมด้วยเทคโนโลยี AI Sound Pro ที่ช่วยปรับแต่งเสียงให้เข้ากับเนื้อหาที่รับชม ไม่ว่าจะเป็นการฟังข่าว ชมภาพยนตร์ หรือคอนเสิร์ต ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มด่ำกับคุณภาพเสียงสำหรับการรับชมความบันเทิงทุกรูปแบบภายในบ้านอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Spotify หรือ Apple AirPlay ทั้งยังมอบความสะดวกสบายในด้านการเชื่อมต่อที่หลากหลาย เพื่อให้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก ทั้งช่องต่อ HDMI, Optical, Bluetooth, WiFi, Rear Ready, eARC (Enhanced Audio Return Channel) ที่ช่วยให้ไม่ลดทอนคุณภาพเสียงของการเชื่อมต่อแบบโฮมเธียเตอร์ ทั้งในระบบเสียงแบบ Dolby Atmos และ DTS:X ในทีวีรุ่นที่รองรับ

อ้างอิง : https://www.techoffside.com/2022/06/lg-sp11ra-ai-processor/

 

ยูทูปเบอร์แชร์ toxic AI ที่เทรนจากเว็บไซต์ 4chan ด้านนักวิจัยเตือนไม่สมควร

มียูทูปเบอร์รายหนึ่งที่ชื่อ Yannic Kilcher ได้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งในโลก AI หลังจากเขาได้ทำการฝึกบอทจากโพสต์ที่รวบรวมมาจากบอร์ด Politically Incorrect ของเว็บไซต์ 4chan (หรือที่รู้จักในชื่อ /pol/) บอร์ดนี้เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของเว็บไซต์ 4chan ในเรื่องของความ toxic โดยมีผู้ใช้งานจำนวนมากมาโพสต์แบ่งปันข้อความที่มีลักษณะของการเหยียดผิว การเกลียดผู้หญิง และการต่อต้านยิว ซึ่งบอทที่ถูกนำมาเทรนโดยข้อมูลเหล่านี้มีชื่อว่า GPT-4chan ตั้งชื่อตามโมเดลยอดนิยมด้านภาษาอย่าง GPT ของ OpenAI

หลังจากที่ Kilcher ทำการฝึกบอทของเขาแล้ว เขาก็ได้ปล่อยมันกลับเข้าสู่เว็บบอร์ด 4chan ในรูปแบบของบอทจำนวนหลายตัว ซึ่งพวกมันได้โพสต์ข้อหลายหมื่นครั้งในบอร์ด /pol/ หลังจากนั้นเขาได้ออกมาพูดถึงโปรเจกต์นี้ในวิดีโอบน YouTube ของเขาว่า “โมเดลนั้นดีมาก แต่มันดีในแง่ที่เลวร้ายนะ” โดยมันแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของ ความก้าวร้าว การทำลายล้าง การล้อเลียน และความคลางแคลงใจต่อข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในโพสต์ส่วนใหญ่ในเว็บบอร์ดนั้น

แม้ว่าทาง Kilcher จะไม่ได้ทำการแชร์โค้ดในส่วนของบอทที่เขาได้ทำการสร้าง แต่เขาก็ได้ทำการแชร์ตัวของโมเดล AI ให้กับทางคอมมูนิตี้ของ Hugging Face ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานได้ในตอนแรก แต่สุดท้ายแล้วจากการถกเถียงถึงความเหมาะสมในเรื่องจริยธรรมของ AI ที่ได้มีการถกเถียงกันอย่างมากสำหรับโปรเจกต์นี้ ทาง Hugging Face ก็ได้ตัดสินใจทำการจำกัดการเข้าถึงโปรเจกต์นี้ในที่สุด

โดยนักวิจัยด้าน AI จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของจริยธรรมของ AI ได้วิพากษ์วิจารณ์โปรเจกต์ของ Kilcher ว่าเป็นโปรเจกต์ที่เพียงแค่ต้องการให้คนมาสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจแบ่งปันข้อมูลโมเดลนั้น หนึ่งในนักวิจัยด้านความปลอดภัยของ AI ได้ออกมากล่าวว่า “มันไม่ใช่สิ่งที่ผิดในการสร้างแบบจำลอง 4chan และทดสอบว่ามันทำงานอย่างไร แต่ความกังวลหลักที่ฉันมีคือโมเดลตัวนี้มันสามารถเข้าถึงได้ฟรี”

ทาง Kilcher ก็ได้ออกมาโต้ว่าตัวบอทเองไม่ได้ทำอันตรายใครแต่อย่างใด เพราะเว็บบอร์ดของ 4chan นั้น toxic มากอยู่แล้วและการที่เขาออกมาแชร์โปรเจกต์บน YouTube ก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด อีกประเด็นหนึ่งที่มีการพูดถึงคือการปล่อยบอท AI บน 4chan อาจผิดจรรยาบรรณหากคุณทำงานให้กับมหาวิทยาลัย แต่ Kilcher ยืนกรานว่าเขาเป็นแค่ยูทูบเบอร์ โดยมีความหมายว่ากฎของจริยธรรมนั้นต่างกัน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/6/8/23159465/youtuber-ai-bot-pol-gpt-4chan-yannic-kilcher-ethics

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 10 – 16 มิถุนายน 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก