ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 4 เดือนกรกฎาคม 2022

ไมโครซอฟต์ดันโครงการช่วยให้ AI ของโดรนพร้อมให้บริการแท็กซี่บินได้

โดรนในปัจจุบันมี 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ แบบที่ใช้คนบังคับวิทยุไร้สาย กับโดรนที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยตัวเอง ซึ่งโดรนรูปแบบหลังมีอุปสรรคสำคัญในการบินผ่านสิ่งกีดขวาง เช่น ตึก ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนสัตว์ปีกต่าง ๆ ดังนั้น การสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของโดรนที่สามารถเรียนรู้ที่จะหลบหลีกปัญหาเหล่านี้ได้นั้นถือเป็นความท้าทายที่สำคัญของผู้พัฒนาโดรน ไมโครซอฟต์ (Microsoft) จึงได้เสนอโครงการแอร์ซิม (AirSim) เพื่อช่วยผู้พัฒนาโดรนขึ้น

ไมโครซอฟต์ (Microsoft) เปิดตัวโครงการใหม่ภายในงาน ฟาร์นโบโรห์ อินเตอร์แนชั่นแนล แอร์ โชว์ (Farnborough International Airshow) ประจำปี 2022 ณ เมืองฟาร์นโบโรห์ (Farnborough) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแฮมป์เชียร์ (Hampshire) สหราชอาณาจักร เป็นนิทรรศการที่ได้รวบรวมบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเทคโนโลยีด้านอากาศยานจากทั่วโลกเอาไว้ภายในงานนี้

ในการแถลงข่าวของไมโครซอฟต์ (Microsoft) บริษัทได้จับมือกับแอร์โตโนมี (Airtonomy) สตาร์ทอัwผู้นำโดรนขับเคลื่อนอัตโนมัติมาใช้เป็นผู้ให้บริการตรวจสอบทรัพย์สินในอุตสาหกรรมต่าง ๆ (Asset Inspection) เพื่อให้เห็นถึงความสามารถของโครงการแอร์ซิม (AirSim) ในการสร้างความสมจริงในการฝึกซ้อมโดรนของบริษัทให้สามารถบินได้จริงผ่านสนามซ้อมบนโลกเสมือนจริงที่ปลอดภัยกว่า
ซึ่งโครงการแอร์ซิม (AirSim) มีพื้นฐานมาจากไมโครซอฟท์ อาชัวร์ (Microsoft Azure) ระบบคลาวด์คอมพิวเตอร์ (Cloud Computer) ของไมโครซอฟต์ (Microsoft) ที่สร้างระบบสภาพจำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Virtual Environment) ขึ้นมา โดยอิงจากสถานที่หรือเมืองที่มีอยู่จริง เช่น สภาพจำลองของรัฐนอร์ทดาโกต้า (North Dakota) นิวยอร์ก และเมืองใหญ่ทั่วโลก ตลอดจนเส้นทางถนน เมือง หรือภูมิประเทศแบบกำหนดค่าเองได้ซึ่งมีฐานข้อมูลจากบิง (Bing Map) และสร้างสิ่งกีดขวางจำลองที่ทำให้ AI ของผู้พัฒนาโดรนฝึกหลบหลีกและเปลี่ยนเส้นทางการบินได้ในรูปภาพ 3 มิติ

กุรทีป ปัล (Gurdeep Pall) รองประธานฝ่ายการบ่มเพาะธุรกิจในด้านเทคโนโลยีและวิจัยของไมโครซอฟต์ (Microsoft) มองว่าแอร์ซิม (AirSim) คือ สะพานเชื่อมโยงโลกเสมือนและโลกความเป็นจริงเข้าด้วยกัน เพื่อฟูมฟักความสามารถของ AI ในระบบการบินของโดรนให้มีความสามารถเพียงพอในการทำการบินบนโลกแห่งความเป็นจริงได้ และเป็นอีกครั้งที่เมตาเวิร์ส (Metaverse) ได้แสดงศักยภาพในการผสานความเป็นจริงเข้ากับโลกดิจิทัล เพื่อทำให้บริการต่าง ๆ ที่อาศัยโดรนไร้คนขับสามารถให้บริการได้อย่างปลอดภัย รวมถึงบริการแท็กซี่บินได้ด้วยเช่นกัน

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/119926/

ครม.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้าน AI เพื่อการพัฒนาประเทศ ปี 65-70

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำร่างแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ

ทั้งนี้ ในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทในการขับเคลื่อนและสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อประเทศไทยในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม ด้านสุขภาพและการแพทย์ และด้านกฎหมาย รวมทั้งยังสามารถยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ อีกทั้งแนวโน้มการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในประเทศก็มีการขยายตัวอย่างมาก
ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการแข่งขันของประเทศ สู่การเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้จัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565-2570 โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเกิดระบบนิเวศที่ครบถ้วน และเชื่อมโยงแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในปี พ.ศ. 2570”

สำหรับวัตถุประสงค์ที่สำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน และภาคการศึกษาที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนและดำเนินงานที่สอดคล้องกัน ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

  • การเตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมายและกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • การเพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์
  • การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
  • การส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐและภาคเอกชน

เมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานตามร่างแผนปฏิบัติการฯ ในปี พ.ศ. 2570 จะทำให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมต่อประเทศ เช่น มีมูลค่าที่เกิดจากการจ้างงานและสร้างอาชีพในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีจำนวนทรัพยากรบุคคลที่สามารถปรับทักษะและพัฒนาทักษะใหม่ทางด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรองรับอาชีพและการทำงานในรูปแบบใหม่ในประเทศเพิ่มมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ รวมทั้งประชาชนในประเทศมีความเหลื่อมล้ำลดลง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม

อ้างอิง : https://www.infoquest.co.th/2022/220241

NotCo สตาร์ทอัพอาหารจากพืชใช้ AI แก้ปัญหาซัพพลายเชน

เทคโนโลยีกำลังช่วยให้ NotCo ผู้ผลิตอาหารจากพืชในชิลีปรับเปลี่ยนสูตรอาหารของตนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

Not Company SpA บริษัทผลิตอาหารจากพืช (plant-based) ได้ปรุงสูตรนวัตกรรมบางอย่างสำหรับทางเลือกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนมด้วยความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Giuseppe ที่มีความสามารถในการค้นหาพืชที่ผสมผสานกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อเลียนแบบผลิตภัณฑ์จากสัตว์และทำให้มันมีรสชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยส่วนผสมใน NotMilk (นมจากพืชของ NotCo) ได้แก่ น้ำสับปะรด น้ำกะหล่ำปลี และโปรตีนถั่ว นอกจากนี้ยังมี NotBurger เบอร์เกอร์ที่มีส่วนผสมประกอบไปด้วยผงน้ำบีทรูท โปรตีนจากถั่วและข้าว เส้นใยไม้ไผ่ และโปรตีนเข้มข้น อย่างไรก็ตามงานของ Giuseppe ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งสองนั้นยังไม่สำเร็จและสงครามในยูเครนกำลังขัดขวางการจัดหาส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์ทั้งสองนั่นก็คือ น้ำมันดอกทานตะวัน

นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารได้ขอให้ Giuseppe แพลตฟอร์ม AI ของพวกเขาทำการค้นหาวัตถุดิบทดแทนที่สามารถเลียนแบบรสชาติที่เป็นกลางและคุณสมบัติอื่นๆ ของน้ำมันดอกทานตะวัน ซึ่งเป็นส่วนผสมในมากกว่าหนึ่งในสามของเบอร์เกอร์ นักเก็ต ไส้กรอก และเนื้อสัตว์อื่นๆ จากพืช โดยก่อนหน้านี้ Giuseppe ได้ทำการดัดแปลงสูตรเพื่อให้ NotCo สามารถรับมือกับการขาดแคลนโปรตีนจากถั่วได้ ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในขณะที่อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตต้องต่อสู้กับข้อจำกัดต่างๆ ทาง Matías Muchnick ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารวัย 33 ปีของบริษัทได้ออกมากล่าวว่า “สิ่งที่ NotCo พยายามทำคือเสนอวิธีแก้ปัญหาให้กับอุตสาหกรรมทั้งหมด”

เป้าหมายของ NotCo คือการสร้างผลิตภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ Muchnick กล่าวว่า “เมื่อคุณนำสัตว์ออกจากสมการและแทนที่ด้วยพืช ทุกสิ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างทวีคูณ” Giuseppe มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่อนุญาตให้ผลิตสูตรเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์จากสัตว์โดยพิจารณาจากสิ่งต่างๆ เช่น เนื้อสัมผัส รส สี และรายละเอียดทางโภชนาการ นอกจากนี้ Karim Pichara ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้งให้ความเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ของเขาว่า “ปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือจาก AI เพราะหากไม่มีมัน อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้สูตรนั้นมา”

อ้างอิง : https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-22/plant-based-food-startup-uses-ai-to-solve-supply-chain-woes

GM และ Ford ยื่นขอใช้รถยนต์ไร้คนขับโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมเลย

เจเนอรัล มอเตอร์ (GM) และฟอร์ด มอเตอร์ ได้ขอให้หน่วยงานควบคุมความปลอดภัยรถยนต์ของสหรัฐฯ อนุญาตให้มีการใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองโดยไม่มีการควบคุมของมนุษย์ เช่น พวงมาลัยและแป้นเบรก

การบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ (National Highway Traffic Safety Administration – NHTSA) มีอำนาจในการยื่นคำร้องเพื่ออนุญาตให้มียานพาหนะจำนวนจำกัดวิ่งบนถนนในสหรัฐฯ โดยไม่ต้องมีการควบคุมจากมนุษย์ โดยผู้ผลิตรถยนต์ทั้งสองรายต้องการปรับใช้ยานพาหนะมากถึง 2,500 คันต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตสำหรับบริการแชร์รถและรับส่ง

GM ต้องการปรับใช้ “Origin” ซึ่งเป็นรถที่มีประตูเหมือนรถไฟใต้ดินและไม่มีพวงมาลัย GM กล่าวว่ายานพาหนะดังกล่าวจะกำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนเริ่มการขับขี่แบบอัตโนมัติ และทางบริษัทก็ได้ออกมาบอกว่าจะยังคงทำงานร่วมกับ NHTSA ต่อไป “ในขณะที่การทบทวนของพวกเขายังคงดำเนินต่อไป และยังคงกระตือรือร้นที่จะได้เห็น Cruise Origin แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบบนท้องถนนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

เช่นเดียวกันฟอร์ดต้องการใช้รถยนต์ไฮบริดไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง “ได้รับการออกแบบและปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อรองรับบริการด้านการเคลื่อนไหว เช่น การแชร์รถ การเรียกรถ และการจัดส่งพัสดุภัณฑ์” โฆษกของฟอร์ดกล่าวว่า “คำร้องเป็นขั้นตอนสำคัญในการช่วยสร้างแนวทางการกำกับดูแลที่ช่วยให้เทคโนโลยีที่เป็นอิสระสามารถเติบโตได้เมื่อเวลาผ่านไป”

อย่างไรก็ตาม Steven Cliff ผู้ดูแลระบบ NHTSA ได้ออกมากล่าวว่าหน่วยงาน “จะตรวจสอบคำร้องแต่ละคำอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดลำดับความสำคัญด้านความปลอดภัยและรวมถึงการพิจารณาการเข้าถึงคนพิการ ความเสมอภาค และสิ่งแวดล้อม”

อ้างอิง : https://www.reuters.com/business/autos-transportation/gm-ford-seek-us-ok-deploy-self-driving-vehicles-without-steering-wheels-2022-07-21/

ผู้เชี่ยวชาญเตือน กฎหมายความเป็นส่วนตัวล้าหลังสำหรับ AI เฝ้าระวังในที่ทำงาน

การเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้กล้องเพื่อตรวจสอบการละเมิดด้านสุขภาพและความปลอดภัยในที่ทำงาน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับวัฒนธรรมการเฝ้าระวังสถานที่ทำงานที่คืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ และการขาดการคุ้มครองสำหรับพนักงาน

เทคโนโลยี AI ที่ใช้กล้อง CCTV สามารถฝึกฝนเพื่อระบุการละเมิดมาตรการความปลอดภัย เช่น เมื่อคนงานไม่สวมถุงมือหรือหมวกแข็ง หรือเพื่อระบุอันตราย เช่น การรั่วไหล โดย Intenseye บริษัท AI สำหรับความปลอดภัยในสถานที่ทำงานรายงานว่ามีลูกค้าชาวออสเตรเลียหลายรายได้มีการใช้งานเทคโนโลยี AI กับ กล้อง CCTV รวมถึงบริษัทเหมืองแร่รายใหญ่

แต่ Nicholas Davis ศาสตราจารย์ด้านเทคโนโลยีเกิดใหม่แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์กล่าวว่าการใช้เทคโนโลยี AI ล่าสุดเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมการเฝ้าระวังที่ต้องอาศัยการเฝ้าระวังคนงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทต่างๆ สามารถใช้มาตรการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและถูกต้อง แต่เขากล่าวว่ากฎหมายการสอดแนมของออสเตรเลียนั้นไม่พร้อมที่จะควบคุมการใช้ AI หรือกำหนดข้อจำกัดที่ควรจะเป็นได้

กรมอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ และทรัพยากรได้พัฒนากรอบจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สำหรับธุรกิจเพื่อทดสอบระบบ AI กับชุดของหลักจริยธรรมแต่ Jim Stanford นักเศรษฐศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์งานแห่งอนาคตของสถาบันออสเตรเลียกล่าวว่า กฎระเบียบที่ไม่รัดกุมนั้นได้ทำให้เกิดช่องว่างสำหรับการละเมิดและการใช้ในทางที่ผิด โดยเขาให้ความเห็นอีกว่า นายจ้างยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้านสุขภาพและพฤติกรรมที่ได้รับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง “ถ้าคนรู้สึกว่าพวกเขากำลังถูกเฝ้าติดตามตลอดเวลา พวกเขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เจ้านายมีความสุข สิ่งนั้นสามารถนำไปสู่การเร่งรัดและเร่งรัดงานที่ไม่ดีต่อสุขภาพใน ระยะยาว”

อย่างไรก็ตามสำนักงานกรรมาธิการข้อมูลแห่งออสเตรเลีย (OAIC) กล่าวว่าได้รับทราบถึงการใช้เทคโนโลยีที่เหล้านี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเทคโนโลยี AI เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมในที่ทำงานแล้ว โดยเขาได้กล่าวว่า “สำนักงานของเราได้รับการสอบถามและข้อร้องเรียนบางประการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสถานที่ทำงานโดยทั่วไปแล้ว”

อ้างอิง : https://www.abc.net.au/news/2022-07-25/ai-workplace-surveillance-tech-raises-concerns/101263028

Google ไล่ “เบลค เลโมนี” ที่เคยให้ข่าวว่า AI มีความรู้สึกแบบมนุษย์ ออกจากงานแล้ว

ย้อนหลังกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน ในวงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีเรื่องฮือฮาเกิดขึ้น เนื่องจาก เบลค เลโมนี วิศวกรของกูเกิล ให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ โดยระบุว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) อาจมีความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้น เบลค เลโมนี ระบุว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิลที่มีชื่อว่า แลมดา (LaMDA) ได้ถูกพัฒนาจนกระทั่งสามารถมีความรู้สึกเป็นของตัวเองได้ ทั้งนี้ แลมดาได้สนทนากับเลโมนี ในประเด็นสิทธิและความเป็นตัวตน และได้แชร์เอกสารกูเกิล ดอค ในหัวข้อ แลมดามีความรู้สึกหรือไม่ หรือ Is LaMDA sentient? ให้กับผู้บริหารของกูเกิลฟังเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

จากนั้นไม่นาน กูเกิล ได้สั่งพักงานเลโมนี จากการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัท นอกจากนี้ โฆษกของกูเกิลยังปฏิเสธคำกล่าวอ้างของเลโมนีที่ว่า แลมดามีความสามารถทางความรู้สึกอีกด้วย
กระทั่งในช่วงเวลาประมาณสามทุ่มของวันศุกร์ตามเวลามาตรฐานตะวันออก เบลค เลโมนี ออกมาเปิดเผยว่า เขาได้ถูกกูเกิลไล่ออกจากงานเรียบร้อยแล้ว

ไบรอัน กาเบรียล โฆษกของกูเกิล เปิดเผยว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์อย่างจริงจัง และได้มีการประเมินอย่างเป็นทางการถึง 11 ครั้ง รวมถึงการตีพิมพ์งานวิจัยในการพัฒนาอย่างรับผิดชอบ เพียงแต่ว่า ถ้าพนักงานของเราพบข้อกังวลในเนื้องานเหมือนอย่างเช่น กรณีของเบลค กูเกิลจะทำการประเมินให้ครอบคลุมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการที่เบลค อ้างว่า แลมดา มีความรู้สึกมันไม่ใช่มูลความจริงทั้งหมด

โฆษกของกูเกิล กล่าวต่อไปอีกว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่กูเกิล และตัวของเบลค พยายามพูดคุยในหัวข้อนี้มาหลายครั้ง แต่เบลคก็ยังเลือกที่จะละเมิดนโยบายการจ้างงาน และการเผยแพร่ข้อมูลของผลิตภัณฑ์ ก่อนที่สุดท้ายกูเกิลอวยพรให้เลโมนีโชคดีต่อไปในอนาคต

อ้างอิง : https://www.thairath.co.th/news/tech/2453031

เตรียมทุ่มทุนใช้หุ่นยนต์ Spot ตามหาบิทคอยน์มูลค่ากว่า 6,450 ล้านบาท

เจมส์ โฮเวลล์ (James Howells) ชายชาวอังกฤษผู้ที่อ้างว่าตัวเองเฉียดรวยกลายเป็นมหาเศรษฐีหลังจากมีจำนวนบิทคอยน์ (Bitcoin) เก็บไว้ในฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ของตัวเองกว่า 8,000 BTC ในปี 2013 แต่เขากลับนำมันไปทิ้งในกองขยะโดยไม่ได้ตั้งใจและเมื่อทราบมูลค่าของ Bitcoin ที่สูงขึ้นในหลายปีต่อมาเขาจึงพยายามออกตามหามันในกองขยะขนาด 110,000 ตัน

ตลอดระยะเวลากว่า 9 ปี ที่เหรียญบิทคอยน์ (Bitcoin) จำนวน 8,000 BTC หายไปเขาพยายามค้นหามันทุกแห่งและล่าสุดในปี 2022 เขาได้ออกมาเปิดเผยแผนการจัดระดมทุนมูลค่ากว่า 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 400 ล้านบาท เพื่อตามหาบิทคอยน์ (Bitcoin)ในฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาต้องการใช้ตัวช่วยพิเศษนั่นคือ หุ่นยนต์สุนัข Spot เวอร์ชันปี 2020 จากบริษัท Boston Dynamics จำนวน 2 ตัว ในราคา 74,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2.7 ล้านบาท ซึ่งหุ่นยนต์รุ่นดังกล่าวจะมีการติดตั้งเทคโนโลยีทันสมัยในการมองหาวัตถุที่มนุษย์ไม่สามารถมองหาได้ด้วยตาเปล่าทำงานร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)

โดยเขาจะตั้งชื่อหุ่นยนต์ตัวแรกว่าซาโตชิ (Satoshi) ตามชื่อของผู้ซาโตชิ นากาโมโตะ (Satoshi Nagamoto) ผู้เป็นแกนนำสำคัญในการพัฒนาบิทคอยน์ (Bitcoin) และหุ่นยนต์อีกตัวว่าฮัล (Hal) ตามชื่อของฮัล ฟินนีย์ (Hal Finney) ชายคนแรกที่ทำธุรกรรมโอนย้ายบิทคอยน์ (Bitcoin) หุ่นยนต์จะทำหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์และค้นหาไปในตัวเพื่อป้องกันบุคคลอื่นเข้ามาขโมยชิ้นส่วนฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ที่มีบิทคอยน์ (Bitcoin) อยู่ภายใน

อย่างไรก็ตามแผนการค้นหาบิทคอยน์ (Bitcoin) ในกองขยะขนาด 110,000 ตัน นั้นดูเหมือนไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เนื่องจากต้องขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐบาล รวมไปถึงกองขยะที่มีขนาดใหญ่ แม้ว่าเจมส์ โฮเวลล์ (James Howells) จะยืนยันว่าสามารถจัดการสภาพแวดล้อมให้กลับคืนมาตามเดิมได้หลังจากค้นหาประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าถึงแม้จะค้นพบฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์แต่กระบวนการกู้คืนข้อมูลนั้นยากมากและมีโอกาสกู้ข้อมูลสำเร็จเพียงน้อยนิด

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/120276/

“หุ่นยนต์หมากรุก” หักนิ้วคู่แข่ง 7 ขวบขณะแข่งในรัสเซีย

เหตุไม่คาดฝันในทัวร์นาเมนต์หมากรุกระหว่าง “หุ่นยนต์” กับเด็ก 7 ขวบ ในรัสเซีย แขนกลเข้าใจผิดตะครุบนิ้วเด็กจนหัก
สำนักข่าว ทาสส์ ในรัสเซีย รายงานว่า ได้เกิดเหตุผิดพลาดระหว่างการแข่งขันหมากรุก มอสโก โอเพน ระหว่างหุ่นยนต์หรือเอไอกับคู่แข่งวัย 7 ขวบ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา เมื่อแขนกลหุ่นยนต์จับนิ้วเด็กชายไว้แน่นจนกระดูกนิ้วแตกร้าว โดยคลิปเหตุไม่คาดฝันเผยแพร่ในช่อง Baza Telegram แสดงให้เห็นแขนกลจับยึดนิ้วของเด็กชายอยู่หลายวินาทีก่อนผู้ใหญ่เข้าไปช่วยกันแงะแขนกล คู่แข่งรุ่นเยาว์ที่ต่อมา ทราบ ชื่อว่า คริสโตเฟอร์ เป็นหนึ่งในผู้เล่นอายุต่ำกว่า 9 ปี ที่ติดท็อป 30 อันดับในกรุงมอสโก เด็กชายไม่ได้มีอาการขวัญผวามากนัก ยังสามารถกลับไปแข่งต่อในวันถัดไป และร่วมการแข่งขนจนจบโดยใส่เฝือกนิ้ว และมีอาสาสมัครคอยช่วย
“หุ่นยนต์หักนิ้วเด็ก แน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น” เซอร์เก ลาซารอฟ ประธานสหพันธ์หมากรุกมอสโก กล่าวกับสำนักข่าว ทาสส์ ก่อนเสริมว่า เด็กชายขยับนิ้วเดินหมากบนกระดาน จากนั้น แขนกลขนาดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ จะคำนวณชั่วครู่ก่อนแก้เกม แต่อาจเป็นเพราะเด็กชายขยับย้ายนิ้วเร็วเกินไป ทำให้หุ่นยนต์เข้าใจผิดว่านิ้วเด็กเป็นหมากรุกตัวหนึ่ง จึงยึดนิ้วเด็กไว้

ลาซารอฟกล่าวว่า สหพันธ์ฯเช่าหุ่นยนต์ตัวนี้ ซึ่งผ่านการแข่งขันหมากรุกมาแล้วหลายทัวร์นาเมนต์ มีความสามารถในการแข่งหลายแมตช์ในเวลาเดียวกัน ต่อไป เจ้าของหุ่นยนต์คงจะต้องหาทางป้องกันให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก

ด้าน เซอร์เก สมักกิน รองประธานสหพันธ์หมากรุกมอสโก กล่าวกับสำนักข่าว RIA ว่า เท่าที่รู้ เหตุผิดพลาดจากหุ่นยนต์หมากรักเช่นนี้ ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อ้างอิง : https://www.komchadluek.net/news/523714

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 22 – 28 กรกฎาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก