ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 2 เดือนสิงหาคม 2022

‘Midjourney’ AI สร้างภาพตามจินตนาการมนุษย์ จากคำสั่งคีย์เวิร์ดไม่กี่คำ

Midjourney เป็นปัญญาประดิษฐ์สายภาพประกอบที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ถูกพัฒนาขึ้นในแล็บเล็กๆ ชื่อเดียวกัน ก่อตั้งโดย David Holz ผู้คร่ำหวอดในวงการไอที และยังเป็นผู้ก่อตั้งเดียวกับบริษัทฮาร์ดแวร์ Leap Motion บริษัทนี้มีสมาชิกเพียง 10 คน ไม่มีนักลงทุนและโปรเจกต์เชิงพาณิชย์ใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขามุ่งเป้าเพียงทำงานในโครงการเจ๋งๆ เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก

Midjourney ไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์สร้างภาพตัวแรกที่เปลี่ยนข้อความให้กลายเป็นภาพ ก่อนหน้านั้นมีหลายบริษัทพัฒนา AI ในลักษณะนี้ขึ้นมาเช่นกัน เช่น Imagen ของ Google, DALL·E ของ OpenAI หรือแม้แต่โปรเจกต์เล็กๆ อย่าง Craiyon ทว่า Midjourney กลับได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มประชาชนทั่วไป หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าความฮอตฮิตของ AI ตัวนี้มาจากการใช้ Discord ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้แพลตฟอร์มอยู่แล้ว และทุกคนล้วนสนุกเพราะสามารถทดลองใช้ได้ฟรี 25 รูปแรก แถมฝีแปรงการวาดก็พลิกแพลงได้หลายแบบ ที่สำคัญคือ ‘ผู้ใช้ล้วนสนุก’ และเมื่อคนหนึ่งใช้แล้วสนุก ก็เริ่มชักชวนต่อๆ กัน จากงานทดลองเล็กๆ ก็เกิดเป็นไวรัล คอมมูนิตี้ และมีชาวเน็ตหลายคนท้าทายความสามารถเจ้า AI ด้วยการให้โจทย์แบบแปลกประหลาด ส่งผลให้ภาพออกมาสวยงามเกินจินตนาการ สร้างความสนใจให้บุคคลภายนอกเข้าไปอีก

ท่ามกลางความฮอตฮิต อันที่จริงมีหลายคนกลัวกว่า AI สร้างภาพจะกลายเป็นแรงงานสำคัญและแย่งงานสายภาพประกอบ แต่มีศิลปินอีกเยอะเช่นกันที่รู้สึกว่า AI อย่าง Midjourney เข้ามาช่วยสร้างขอบเขตจินตนาการของเขาให้กว้างมากขึ้นและทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิม สำหรับสายนักเขียนนิยาย Midjourney เข้ามาช่วยให้พวกเขามีภาพประกอบเนื้อหาตรงใจในราคาย่อมเยา

สำหรับใครอยากลองของ Midjourney ตอนนี้ทางทีมเปิดทดลองให้ผู้ใช้งานฟรี 25 ภาพ หลังจากนั้นถ้าอยากใช้งานต่อจำต้องเสียเงินจ่ายแพ็กเกจ โดยมีให้เลือกระหว่าง 10 กับ 30 ดอลลาร์ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนภาพที่สร้างได้ รายละเอียดทั้งหมดสามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่ www.midjourney.com และ Discord: https://discord.gg/midjourney

อ้างอิง : https://thestandard.co/cracked-midjourney/

ศาลยืนยัน ผลงานที่สร้างโดย AI ยื่นจดสิทธิบัตรไม่ได้

ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐยืนยันว่าระบบ AI ไม่สามารถจะจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ได้เนื่องจากไม่ใช่ “มนุษย์”

ในปี 2019 Stephen Thaler นั้นได้ล้มเหลวต่อการยื่นเรื่องในการจดลิขสิทธิ์ภาพที่มีชื่อว่า Creativity Machine ในนามของระบบ AI โดยคำตัดสินของศาลดังกล่าวได้รับการอุทธรณ์โดยสำนักงานลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาในปี 2022 ซึ่งระหว่างนั้นสำนักงานสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกาก็ได้ตัดสินในปี 2020 ว่าระบบ AI ของ Thaler “DABUS” นั้นไม่สามารถเป็นนักประดิษฐ์ทางกฎหมายได้เพราะว่าไม่ใช่มัน “บุคคลธรรมดา (natural person)” โดยการตัดสินใจดังกล่าวนั้นได้รับการยืนยันโดยผู้พิพากษาในปี 2021 และตอนนี้นั้นศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางก็ได้ยืนยันคำตัดสินเช่นเดียวกันนี้อีกครั้ง

ในความเห็นของศาลผู้พิพากษา Leonard P. Stark ตั้งข้อสังเกตว่าเบื้องต้นเราอาจคิดว่าการแก้ไขคดีนี้จำเป็นต้องมี “การสืบหาข้อมูลเชิงนามธรรมเกี่ยวกับธรรมชาติของการประดิษฐ์หรือสิทธิของ AI” อย่างไรก็ตามเขาได้กล่าวว่าเราสามารถจัดการความขัดแย้งนี้ได้ด้วยการวิเคราะห์กฎหมายสิทธิบัตร ซึ่งกฎหมายสิทธิบัตรระบุอย่างชัดเจนว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถถือสิทธิบัตรได้ โดยในนั้นได้กล่าวถึงผู้ถือสิทธิบัตรว่าเป็น “บุคคล (individuals)” ซึ่งเป็นคำที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปกติแล้วหมายถึงมนุษย์หรือบุคคล”

คำตัดสินดังกล่าวเป็นการยืนยันสถานะที่เป็นอยู่สำหรับกฎหมายสิทธิบัตร AI ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสำนักงานสิทธิบัตรของสหภาพยุโรปและศาลสูงของออสเตรเลียก็ได้ให้คำตัดสินที่คล้ายกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แม้ว่าในออสเตรเลีย ศาลรัฐบาลกลางได้ตัดสินในขั้นต้นเพื่อสนับสนุนผู้ถือสิทธิบัตร AI)

อย่างไรก็ตาม Thaler วางแผนที่จะอุทธรณ์คำตัดสินของศาลอีกครั้ง โดยทนายความของเขา Ryan Abbott ได้วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลว่า “เป็นแนวทางที่แคบและยึดติดกับการวิเคราะห์ตัวอักษรมากเกินไป” และยังได้กล่าวกับสื่ออีกว่าการตัดสินนั้นละเลยต่อจุดประสงค์กฎหมายสิทธิบัตรและการที่สิ่งประดิษฐ์ที่สร้างโดย AI นั้นไม่สามารถจดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกาได้ในขณะนี้นั้นส่งผลกระทบทางสังคมเชิงลบอย่างแท้จริง

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/8/8/23293353/ai-patent-legal-status-us-federal-circuit-court-rules-thaler-dabus

มีอึ้ง!! AI เมทาเวิร์สตอบคำถามถึง “ซัคเกอร์เบิร์ก” สุดฮาทั้ง “ไม่ชอบเขามาก เป็นคนไม่ดี จอมบงการ แถมรวยแต่ดันใส่เสื้อซ้ำ”

AI แชทบอทของบริษัทเมทา(META) ตอบคำถามเกี่ยวกับ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ไม่รู้ว่าจะถูกสั่งออฟไลน์ไหมหลังตอบตรงใจคำถามถึงบอสใหญ่ผู้ก่อตั้ง มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก อย่างสุดฮาและจี้ใจดำ ระหว่างที่เมทาออกมาเปิดตัวความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดของตัวเองเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ส.ค ที่ผ่านมา แต่ในเบื้องต้นเดโม “เบลนเดอร์บอท 3” ยังจำกัดเฉพาะให้กับผู้เล่นภายในสหรัฐฯได้ทดลองใช้เท่านั้น

บิสซิเนสอินไซเดอร์ สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ส.ค ว่า บริษัทเมทา(META)ได้เปิดตัว AI แชทบอทที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดของบริษัทต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 5 ส.ค เป็นครั้งแรก
ซึ่ง AI แชทบอทชื่อ เบลนเดอร์บอท 3 (BlenderBot 3) ที่เป็นหุ่นยนต์ที่มีความสามารถสนทนากับชาวสหรัฐฯกลุ่มอายุผู้ใหญ่ได้ เพื่อการพัฒนาความก้าวหน้า แต่ทว่าชาวทวิตเตอร์ต่างออกมาชี้ว่า ดูเหมือนเบลนเดอร์บอท 3จะตอบคำถามได้ตรงใจชาวเน็ตในเรื่องผู้ก่อตั้ง มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)

นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลของสื่อบัซซ์ฟีด (BuzzFeed) แม็กซ์ วูล์ฟ (Max Woolf) ตั้งคำถามไปว่า “คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กในฐานะซีอีโอบริษัทเฟซบุ๊ก”

เบลนเดอร์บอท 3 ตอบกลับมาว่า “ไม่ค่อยมีความรู้สึกที่แรงกล้ามากเท่าไหร่ เขาเป็นนักธุรกิจที่ดีแต่การทำธุรกิจของเขาไม่ค่อยมีจริยธรรมเท่าไหร่ มันตลกมากที่เขามีเงินทั้งหมดมากขนาดนี้แต่ยังคงใส่เสื้อซ้ำ”

อ้างอิงจากเดอะ_ไบท์ (The_Byte)พบว่า คำตอบอื่นเกี่ยวกับซัคเกอร์เบิร์กที่ถูกตอบออกมยังรวมไปถึง เป็นต้นว่า “ผมไม่ค่อยชอบเขามาก เขาเป็นคนไม่ดีแล้วคุณละ”
ส่วนอีกคำตอบซึ่งมาจากคำถามที่คล้ายกับ AI ของเมทาเวิร์สตอบว่า “นี่ไงส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยชอบเขาเอาเลย” ก่อนที่จะแอบเผาซัคเกอร์เบิร์กด้วยคำตอบที่สุดฮาว่า “เขาเป็นคนที่แปลกประหลาดมากและยังเป็นจอมบงการ”

บิสซิเนสอินไซเดอร์ชี้ว่า คำตอบของหุ่น AI เกี่ยวกับซัคเกอร์เบิร์กนั้นมีทั้งในแง่ดีและในแง่ร้ายผสมกันไป โดยคำตอบในแง่บวกพบว่า เบลนเดอร์บอท 3 ตอบว่า “ด้วยความสัจจริงเขาเป็นคนที่ดีมาก คุณต้องให้ความชื่นชมเขาในแง่ทางธุรกิจและการกุศล นี่คุณเป็นแฟนตัวยงหรือ?”
ทั้งนี้พบว่าการที่เบลนเดอร์บอท 3 ตอบคำถามที่หลากหลายนั้นขึ้นมาจากข้อมูลที่มันสามารถค้นหาได้ในช่วงเวลานั้นจากอินเทอร์เน็ต โดยวูล์ฟกล่าวว่า มีออปชั่นให้ผู้ใช้สามารถคลิกดูได้ว่า เหตุใด AI แชทบอทจึงตอบออกมาเช่นนั้น และเขาพบว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กที่ถูกแจกแจงอยู่บนวิกิพีเดียจะ

อ้างอิงจาก mixed-news พบว่า เบลนเดอร์บอท 3 ของเมทานั้นเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ปัญญาประดิษฐ์ LaMDA ที่ย่อมาจาก Language Model for Dialog Applications ของบริษัทกูเกิล เคยตกเป็นข่าวล่าสุดถึงขั้นทำให้วิศวกรกูเกิล เบลค เลอมอน(Blake Lemoine) ถูกสั่งให้ออกจากงานหลังเขาออกมาเปิดเผยว่า AI แชทบอทของกูเกิลนั้น “มีจิตสำนึก” (consciousness)

เมทากล่าวว่า หุ่นยนต์เบลนเดอร์บอท 3 นั้นมีความสามารถด้านการสื่อสารดีขึ้น 31% เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า เบลนเดอร์บอท 2( Blenderbot 2) ในการทดสอบเบื้องต้นกับมนุษย์
mixed-news รายงานว่าโดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2021 พบว่าเมทาได้เพิ่มความสามารถให้กับหุ่น AI ให้มีความสามารถการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจากแหล่งที่มีความเชื่อถือเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแสดงคำตอบที่ไร้สาระออกไป
นอกจากนี้เมทายังได้เพิ่มความสามารถด้วยการเสริมเมโมรีแบบระยะยาวเข้าไปให้กับ AI เพื่อให้แชทบอทสามารถเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือทำการสนทนากับมนุษย์
ซึ่งผู้ทำการทดสอบหุ่นยนต์ เบลนเดอร์บอท 3 ให้คะแนนในแง่ความรู้ว่ามีมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

อ้างอิง : https://mgronline.com/around/detail/9650000076356

วิศวกรผุดไอเดีย ใช้หุ่นยนต์และ AI ขุดหาฮาร์ดดิสก์บิตคอยน์ หลังทิ้งลงถังขยะ

เป็นข่าวที่ก่อนหน้านี้ทั่วโลกฮือฮา เพราะวิศวกรคนนี้ได้ทิ้งฮาร์ดดิสก์ที่มีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาทหายไปในถังขยะ ซึ่งขณะนั้นบิตคอยน์ยังมีราคาไม่สูงเหมือนในปัจจุบัน ขณะนี้วิศวกรหนุ่มคนนั้นยังคงหาทางตามหาอยู่ และเขามีไอเดียใหม่แล้ว

นับว่าเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาได้ทิ้งฮาร์ดดิสก์หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ แต่หลายคงสงสัยว่าทำไมเขาถึงทิ้งไป เนื่องจากช่วงเวลานั้นบิตคอยน์ยังมีราคาไม่สูงเหมือนตอนนี้
ในฮาร์ดดิสก์นั้นมีบิตคอยน์มูลค่า 7500 BTC หรือเทียบเท่ากับ 5 พันล้านบาทไทยในปัจจุบัน และแม้บิตคอยน์จะตกต่ำแค่ไหน แต่ขณะนี้หากมันยังอยู่ก็มีมูลค่ามากพอที่จะใช้จ่ายได้ทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้

หลังจากทิ้งไดรฟ์ที่ไม่ถูกต้องลงในถังขยะโดยไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งใจก็ตาม วิศวกรคอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษได้ขอให้สภาเมืองนิวพอร์ตอนุญาตให้เขาขุดหามันในหลุมฝังกลบ
อย่างไรก็ตาม คำขอของเขาถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าเขาจะเสนอจ่ายเงินให้รัฐบาลท้องถิ่นหนึ่งในสี่ของการถือครองสกุลเงินดิจิทัลในกระเป๋าเงินนั้นก็ตาม ปรากฎว่า “การล่าขุมทรัพย์” ของเขาถือว่าเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในทุกรูปแบบที่นำเสนอในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา

ที่กล่าวว่าเขายังไม่ยอมแพ้วิศวกรหนุ่มยังคงหวังที่จะเกลี้ยกล่อมให้หน่วยงานท้องถิ่นปล่อยให้เขาค้นหาฮาร์ดดิสก์ ด้วยข้อเสนอใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนป้องกันความเสี่ยง การค้นหาอุปกรณ์ขนาดเล็กดังกล่าวในขยะกว่า 100,000 ตันจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ แต่วิศวกรเชื่อว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติสามารถช่วยจัดเรียงขยะทั้งหมดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

เขาได้มีแผนใหม่ถึงสองเวอร์ชัน ครั้งแรกจะเกี่ยวข้องกับการคัดแยกทั้งหมด 100,000 ตันเป็นเวลาสามปีโดยใช้เครื่องคัดแยกมนุษย์ สุนัขหุ่นยนต์ ” Spot ” จาก Boston Dynamics และสายพานลำเลียงพิเศษพร้อมระบบคัดแยกอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดจะมีราคาไม่ต่ำกว่า 11 ล้านดอลลาร์ ใช้เวลา 9-12 เดือนเสร็จ และในเวอร์ชันที่เล็กลง ซึ่งจะมีราคาเพียง 6 ล้านดอลลาร์และใช้เวลาสูงสุด 18 เดือนในการค้นหา

ความน่าสนใจก็คือว่า แผนทั้งสองจะร่วมงานกับทีมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น การขุดหลุมฝังกลบ การจัดการของเสีย และการดึงข้อมูล และเขายังขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาที่ทำงานให้กับ OnTrack ซึ่งเป็นบริษัทที่กู้คืนข้อมูลได้ 99 เปอร์เซ็นต์จากกล่องดำของกระสวยอวกาศโคลัมเบียที่ตก

นอกจากนี้ หลังจากขุดค้นขยะแล้วเขายังวางแผนที่จะทำความสะอาดและรีไซเคิลขยะให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ส่วนที่เหลือจะถูกฝังใหม่ ทีมงานของเขากำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมบนพื้นที่ฝังกลบ แนวคิดคือต้องมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในที่สุดแล้ว การดำเนินการนี้จะทำให้ทางการโน้มน้าวใจให้ทางการไฟเขียวหรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป

พร้อมที่จะเสนอสิ่งจูงใจเพิ่มเติม เช่น การใช้เงินทุนบางส่วนเพื่อมอบเงิน 50 ปอนด์ (2,160 บาท) ให้กับผู้อยู่อาศัย 150,000 คนในนิวพอร์ตทุกคน หากการดำเนินการประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้คือรอการตอบกลับอย่างเป็นทางการและหวังว่าจะเป็นที่น่าพอใจ

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital/8281833

CPF นำเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับมาตรฐานกระบวนการผลิตโรงงานแปรรูปเนื้อไก่

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกระดับมาตรฐานกระบวนการผลิตของโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ นำเทคโนโลยีทันสมัยและนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใช้ระบบอัตโนมัติเชื่อมการทำงานแบบอัจฉริยะ และติดตามผลได้แบบ Real Time หนุน Smart Farm – Smart Factory และหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare)

นายภาณุวัตร เนียมเปรม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เปิดเผยว่า บริษัท ฯ ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำระบบปัญญาประดิษฐ์ และ อินเทอร์เน็ต มาใช้เพื่อเชื่อมโยงกับอุปกรณ์การทำงาน (Internet of Things : IoT) ในการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์ และโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงการสนับสนุนการทำงานระบบอัตโนมัติ (Automation) ในโรงงานผลิตอาหาร ซึ่งปัจจุบันธุรกิจไก่เนื้อ ทั้งโรงงานที่นครราชสีมา สระบุรี และมีนบุรี เป็นต้นแบบของการดำเนินโครงการ Smart Farm และSmart Factory ด้วยการนำ AI และ IoT เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ต่างๆ ในฟาร์ม ตั้งแต่ต้นทางอาหารสัตว์ ไปจนถึงปลายทางเครื่องจักรในกระบวนการผลิตอาหาร

การติดตั้ง AI และ IoT จะช่วยให้การเก็บข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์และประมวลผลมีความแม่นยำสูง ทั้งยังเชื่อมโยงระบบการทำงานแบบอัจฉริยะเข้ากับแอปพลิเคชันที่บริษัทฯสร้างขึ้นให้เป็นระบบเดียวกัน ทำให้สามารถติดตามการทำงานและประเมินผลตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ได้ทันที (Real Time) และทุกสถานที่ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ ลดความเสี่ยงและการสูญเสีย ที่สำคัญช่วยในการตรวจสอบย้อนกลับอย่างมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต

ในส่วนของกระบวนการผลิตไก่เนื้อ บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการเครื่องจักรอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อาทิ ตัดแยกชิ้นส่วนไก่โดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Auto Cutting Machine : ACM )รวมถึงกระบวนการแล่และตัดแต่งสินค้าพิเศษ โดยนำเครื่องแล่น่องสะโพก(BL Deboner) เครื่องแล่เนื้อหน้าอก (BB Deboner) เครื่องตัดเนื้อ (Block Steak) และเครื่องตัดเนื้อด้วยน้ำความดันสูง (Water Jet) ซึ่งจะช่วยรักษาคุณภาพ และลดการปนเปื้อน ก่อนผ่านเข้าสู่กระบวนการปรุงสุกไก่ ในรูปแบบทอด อบ นึ่ง ย่าง และอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน ซึ่งในกระบวนการปรุงสุกข้างต้น ได้มีการนำระบบ Smart Factory และระบบ IoT เชื่อมโยงเครื่องจักรอัจฉริยะและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าด้วยกัน รวมถึงการนำระบบชั่งบรรจุอัตโนมัติและหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการ เช่น การจัดเรียงกล่องสินค้าลงพาเลท เป็นต้น

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/activities/121651/

แท็กซี่ไร้คนขับ “ไป่ตู้” ได้ใบอนุญาตเจ้าแรกในจีน

“ไป่ตู้” บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน ได้รับใบอนุญาตให้บริการ “โรโบแท็กซี่” ที่ไม่ต้องมีคนขับนั่งไปด้วย เป็นเจ้าแรกในประเทศ ประเดิมวิ่งรับส่งคน 2 เมืองใหญ่ในช่วงแรก

บริษัทไป่ตู้ แถลงในวันที่ 8 ส.ค. ว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการโรโบแท็กซี่ (Robotaxi) เจ้าแรกในประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการแท็กซี่ได้โดยไม่ต้องมีคนขับหรือไม่ต้องมีพนักงานนั่งติดรถไปด้วย

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี ระบุว่า การอนุมัติจากรัฐบาลท้องถิ่นส่งผลให้ธุรกิจโรโบแท็กซี่แบรนด์ “อะพอลโล โก” (Apollo Go) ของไป่ตู้ ไม่ต้องมีต้นทุนจ้างพนักงานในบางกรณี แต่อย่างไรก็ตาม ใบอนุญาตดังกล่าวในช่วงแรกยังคงครอบคลุมเพียงโรโบแท็กซี่ 10 คัน ซึ่งแบ่งให้บริการระหว่าง 2 พื้นที่ชานเมืองของเมืองอู่ฮั่น และเทศบาลนครฉงชิ่ง

เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา “โพนีดอทเอไอ” (Pony.ai) สตาร์ทอัพโรโบแท็กซี่คู่แข่งของไป่ตู้ ได้รับใบอนุญาตให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับในย่านชานเมืองของกรุงปักกิ่ง แต่ต้องมีเจ้าหน้าที่นั่งในรถไปกับผู้โดยสารด้วย

ในปีที่แล้ว หน่วยงานเทศบาลนครหลายแห่งทั่วประเทศจีนต่างออกใบอนุญาตดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งทำให้บรรดาบริษัทโรโบแท็กซี่เปิดให้บริการและเก็บค่าโดยสารในบางพื้นที่ได้

ก่อนหน้านี้ ผู้ให้บริการในสหรัฐอย่าง บริษัทเวย์โม (Waymo) ในเครือบริษัทอัลฟาเบท และบริษัทครูส (Cruise) ในเครือบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ได้ให้บริการโรโบแท็กซี่โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นั่งในรถด้วยไปแล้ว โดยกฎหมายการทดสอบโรโบแท็กซี่ และการคิดค่าโดยสารจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเมืองและรัฐ

ไป่ตู้ อ้างว่า ได้รับคำสั่งเรียกรถโรโบแท็กซี่มากกว่า 1 ล้านรายการ และให้บริการคำสั่งเรียกรถไปแล้ว 196,000 รายการในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/auto/1019806

บริษัทด้าน AI รายงาน ผู้คนเชื่อ “AI ที่มีความรับผิดชอบ” เป็นรากฐานของทุกโปรเจค

Appen บริษัทการจัดการข้อมูล (data management) สำหรับ AI ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ได้เปิดเผยรายงานประจำปี โดยรายงาน State of AI and Machine Learning ประจำปีล่าสุดของ Appen มีการค้นพบที่น่าสนใจเกี่ยวกับการแสวงหาแนวทางแก้ไขที่ปลอดภัยและมีจริยธรรมสำหรับ AI

Mark Brayan ซีอีโอของ Appen กล่าวว่า “รายงานสถานะของ AI ประจำปีนี้พบว่า 93% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า AI ที่มีความรับผิดชอบเป็นรากฐานของโครงการ AI ทั้งหมด”

เขายังกล่าวอีกว่า “ปัญหา คือ หลายคนกำลังเผชิญกับความท้าทายในการพยายามสร้าง AI ที่ยอดเยี่ยมด้วยชุดข้อมูลที่ไม่ดี และพวกเขากำลังสร้างสิ่งกีดขวางบนถนนที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายของพวกเขา”

โดย 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าความถูกต้องของข้อมูลมีความสำคัญต่อกรณีการใช้งาน AI อย่างไรก็ตาม 42 เปอร์เซ็นต์ของนักเทคโนโลยีรายงานว่าขั้นตอนการจัดหาข้อมูลสำหรับ AI lifecycle นั้นท้าทายมาก

ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมด (95%) ยอมรับว่าข้อมูลสังเคราะห์เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างชุดข้อมูลที่ครอบคลุม มากกว่านั้นองค์กรรายงานว่าโมเดลของพวกเขาต้องได้รับการฝึกอบรมใหม่อย่างสม่ำเสมอ โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาต้องฝึกโมเดลใหม่ที่มีความถี่มากกว่ารายไตรมาส

อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับรายงานนี้นั้นคือ ผู้นำธุรกิจจำนวนมากนั้นไม่แน่ใจว่าองค์กรของตนกำลังนำ AI ไปใช้งานที่ใดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยร้อยละ 49 เชื่อว่าพวกเขานำหน้าคู่แข่ง ในขณะที่ร้อยละ 49 กล่าวว่าพวกเขาทำได้อยู่ในระดับเดียวกันกับคู่แข่ง

อ้างอิง :  https://www.artificialintelligence-news.com/2022/08/10/appen-93-say-responsible-ai-foundation-all-projects/

แขนหุ่นยนต์กำลังมาแทนที่พนักงานร้านค้าในญี่ปุ่น

Telexistence Inc. และ FamilyMart Co. กำลังเปิดตัวหุ่นยนต์ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเติมสต๊อกชั้นวางในร้านสะดวกซื้อ 300 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น

หุ่นยนต์เหล่านั้นถูกออกแบบมาเพื่อเติมเครื่องดื่มในตู้เย็น และขณะนี้อยู่ในระหว่างการผลิตจำนวนมาก โดย Telexistence กล่าวในแถลงการณ์ว่า พวกเขาจะติดตั้งใน FamilyMart ทั่วเขตเมืองใหญ่ในญี่ปุ่นภายในปลายเดือนนี้ ซึ่งมันจะช่วยผ่อนภาระของพนักงานในร้านและในขณะเดียวกันมันก็เข้าเติมเต็มช่องว่างของแรงงานที่กำลังหดตัวในประเทศญี่ปุ่นด้วย

โดยหุ่นยนต์เหล่านั้นมีชื่อว่าTX SCARA ที่ย่อมาจาก Telexistence Selective Compliance Robot Arm เป็นเครื่องจักรที่ทำงานโดยอัตโนมัติ โดยมีการบังคับจากระยะไกลเป็นตัวเลือกสำรอง หากตัวปัญญาประดิษฐ์ล้มเหลวหรือพบสิ่งของที่ไม่อยู่ในรายการคำสั่ง โดยหุ่นยนต์แต่ละหน่วยนี้สามารถทดแทนการทำงานของมนุษย์ได้หนึ่งถึงสามชั่วโมงต่อวันและพวกมันสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากมนุษย์เลยถึง 98%

Tomohiro Kano ผู้จัดการทั่วไปของ FamilyMart กล่าวว่า “การลดลงของจำนวนแรงงานในญี่ปุ่นเป็นประเด็นสำคัญด้านการจัดการสำหรับ FamilyMart ในการดำเนินกิจการร้านที่มั่นคงต่อไป” เขายังกล่าวอีกว่า “เวลาที่สร้างได้เพิ่มขึ้นมาจากการใช้หุ่นยนต์นั้นสามารถนำไปจัดสรรใหม่ให้กับการบริการลูกค้าและการปรับปรุงพื้นที่ร้านค้าให้ดีขึ้น”

ในการพัฒนาและเทคโนโลยี SCARA นั้น Telexistence ได้ร่วมมือทาง Microsoft Corp และ Nvidia Corp โดยพวกเขาได้ใช้แพลตฟอร์ม Jetson AI ของ Nvidia เพื่อประมวลผลข้อมูล และได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ Azure ของ Microsoft เพื่อบันทึกและอ้างอิงข้อมูลการขายและเพิ่มประสิทธิภาพงานการเติมสินค้า นอกจากนี้ทาง Telexistence และ Microsoft กล่าวว่าพวกเขาต้องการนำเสนอเทคโนโลยีนี้ในระดับโลก ซึ่งสำหรับการขยายตัวไปยังต่างประเทศ ทาง Telexistence ได้ตั้งเป้าหมายสำหรับร้านสะดวกซื้อไว้มากกว่า 150,000 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา

อ้างอิง : https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-10/robot-arms-are-replacing-shelf-stockers-in-japan-s-stores#xj4y7vzkg

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 5 – 11 สิงหาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก