ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 4 เดือนสิงหาคม 2022

เทคโนโลยี “Shrimpbox” เลี้ยงกุ้งด้วย AI ไม่ต้องใช้คน เลี้ยงที่ไหนก็ได้

อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเกษตรกรรมและเกษตรกรยุคใหม่ที่มีระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยทำให้การเลี้ยงกุ้งเป็นเรื่องง่าย และยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าฟาร์มกุ้งทั่วไป
เทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้งแบบ Plug-and-play สร้างผลกำไรมากกว่า 10 เท่าของฟาร์มสัตว์ปีกหรือสุกรแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้กับเกษตรกรแม้ในเมืองที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลหรือประเทศที่มีประชากรหนาแน่น

”Shrimp box” เทคโนโลยีการเลี้ยงกุ้งแบบ เป็นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ล้ำสมัย โดยฟาร์ม Shrimpbox สามารถตั้งอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ที่นำไปใช้ได้ทุกที่ แม้แต่ในเขตเมืองที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล สามารถเคลื่อนย้ายหรือปรับขนาดได้ตามความต้องการในการผลิต
พร้อมทั้งระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Shrimpbox จะตรวจสอบคุณภาพน้ำจากระยะไกล ปรับอุณหภูมิและออกซิเจน และให้อาหารกุ้ง Shrimpbox อัตโนมัติ

โดยเทคโนโลยีชีวภาพของ Shrimpbox ใช้เทคโนโลยี Biofloc ที่เลียนแบบการเติบโตของกุ้งในมหาสมุทร ซึ่ง “Biofloc” เป็นการเลี้ยงระบบนิเวศของจุลินทรีย์ที่ให้สภาพแวดล้อมที่กุ้งได้รับการปกป้องและสามารถเติบโตได้ดี และที่สำคัญต้องใช้น้ำน้อยที่สุด

ระบบ Biofloc ช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคและความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมีอันตรายอื่นๆ และทำให้เกิดพันธุกรรมที่ดีขึ้น
ซอฟต์แวร์ของ Shrimpbox ช่วยให้สามารถจัดการหน่วยการผลิตจากระยะไกลโดยไม่ต้องใช้บุคลากรที่เชี่ยวชาญ สามารถวางแผนการทำงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อจัดการกับความซับซ้อนของข้อมูล การใช้ซอฟต์แวร์ยังช่วยให้สามารถควบคุมลำดับ เครือข่ายจากระยะไกล และทำให้การฝึกอบรมและดำเนินการด้านการเกษตรและการดำเนินงานทำได้ง่ายขึ้น

วิศวกรรมและระบบอัตโนมัติของ Shrimpbox ถูกออกแบบมาเพื่อรับรองการผลิตที่สม่ำเสมอและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจแม้ในประเทศที่มีค่าแรงสูง ให้เวลาตอบสนองที่รวดเร็ว การควบคุมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น และยังลดต้นทุนแรงงาน ระบบอัตโนมัติช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบคุณภาพน้ำจากระยะไกล ปรับอุณหภูมิและออกซิเจน และให้อาหารกุ้งได้ ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ซึ่ง เทคโนโลยี Plug-and-play จะช่วยให้ทุกคนสามารถเป็นผู้เลี้ยงกุ้งได้ แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เคยทำฟาร์มหรือการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมาก่อน

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital/828549

Midjourney ก็ทำไม่ได้! AI สร้างภาพตัวใหม่ Pornpen.ai สร้างภาพแบบ 18+ จากข้อความที่เลือก

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทาง “Leap Motion” บริษัทซอฟต์แวร์ในนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ได้พัฒนา AI ที่มีชื่อว่า “Midjourney” ซึ่งสามารถสร้างภาพสุดเจ๋งจากการตีความข้อความที่มนุษย์พิมพ์ และได้กลายเป็นกระแสฮือฮาหนักมากบนโลกออนไลน์

แต่ถึงอย่างนั้น Midjourney ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เพราะมันไม่สามารถสร้างภาพที่ดูมีความล่อแหลม หรือภาพแบบ 18+ ได้

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้มีนักพัฒนาเกิดปิ๊งไอเดียในการสร้าง AI สร้างภาพตัวใหม่ที่มีชื่อว่า “Pornpen.ai” ที่ถูกออกแบบเพื่อให้สร้างภาพสุดวาบหวิวแนว 18+ เท่านั้น โดยอ้างอิงจากคำต่าง ๆ ที่เราเลือกในแต่ละแท็ก และมันจะนำคำเหล่านั้นมาผสมกันจนเกิดเป็นภาพ

Pornpen.ai ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา และยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่นักพัฒนารายนี้ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่าปัจจุบันแท็กข้อความที่มีให้เลือกนั้นยังมีไม่มาก แต่ในอนาคตจะมีการเพิ่มคำใหม่ ๆ เข้ามาให้ลองเล่นกัน ทางผู้พัฒนายังเล็งเห็นถึงความถูกต้องด้านศีลธรรม และป้องกันผู้ไม่หวังดีระบุตัวตน หรือใบหน้าของคนดังเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงในอนาคต จนอาจไปถึงขั้นตอนของกฎหมาย ทำให้ในตอนนี้ Pornpen.ai สามารถทำได้แค่เพียงการกดตัวเลือก สเปก และสไตล์ต่าง ๆ ที่ผู้เล่นต้องการเท่านั้น

อ้างอิง : https://thejoi.com/midjourney-pornpen-ai-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/

TIKTOK เพิ่มลูกเล่น AI GREENSCREEN ให้ AI สร้างภาพจากข้อความได้แล้วบนแอป

ก่อนหน้านี้ เจ้า AI Midjourney ที่วาดรูปได้สวยมากเป็นที่ฮือฮาและพูดถึงอย่างมากทั้งในข่าวและโลกออนไลน์ ล่าสุดแอปวิดีโอสั้นยอดนิยมอย่าง TikTok ได้นำเสนอ AI ที่สร้างภาพจากข้อความ (text-to-image) ได้โดยตรงบนแพลตฟอร์มแล้ว

TikTok ได้เพิ่มลูกเล่นใหม่ที่ชื่อว่า “AI greenscreen” ที่เปิดให้ผู้ใช้พิมพ์ข้อความลงไป จากนั้นซอฟต์แวร์จะสร้างเป็นรูปภาพขึ้นมา โดยภาพที่สร้างขึ้นนั้นสามารถนำมาใช้เป็นพื้นหลังของวิดีโอได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเหล่าบรรดาครีเอเตอร์ ในการทำคลิปวิดีโอที่มีความสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ผลลัพธ์รูปภาพที่ได้จาก AI ของ TikTok นั้นค่อนข้างไปทางธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกับ AI ที่สร้าง text-to-image ตัวอื่นๆ อย่าง Imagen ของ Google , DALL-E 2 ของ OpenAI หรือว่าจะเป็น Midjourney ก็ตาม

ความสามารถของฟีเจอร์นี้ จะสร้างภาพที่เป็นงาน abstract ที่เต็มไปด้วยจินตนาการ อย่างเช่นภาพ “astronaut in the ocean” (นักบินอวกาศในมหาสมุทร) หรือว่าจะเป็น “Exploding flower galaxy” (การระเบิดของกาแล็กซี่ดอกไม้)
แน่นอนว่า AI ของ TikTok นั้นมีข้อจำกัด เนื่องจากโมเดลที่มีพลังประมวลผลขั้นสูงนั้น จะยิ่งมีราคาที่สูงและใช้ทรัพยากรเครื่องเยอะมากในการประมวลผล ด้วยความที่ TikTok นั้นมีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคน หากต้องสร้างภาพโดย AI ให้เหมือนจริงมากกว่านี้ เทพขึ้นกว่านี้ น่าจะตามมาด้วยผลลัพธ์และค่าใช้จ่ายของบริษัทที่น่าปวดหัวเพิ่มขึ้นแน่ๆ

อ้างอิง : https://www.techoffside.com/2022/08/tiktok-ai-greenscreen/

แทบจะไม่ใช่หุ่นยนต์แล้ว ! Ameca แสดงสีหน้าเลียนแบบมนุษย์

หุ่นยนต์อเมกา (Ameca) ได้รับการอัปเกรดใหม่ ทำให้มันสามารถแสดงสีหน้าเลียนแบบมนุษย์ได้สมจริงมากยิ่งขึ้น

อเมกา (Ameca) เป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid) หรือก็คือหุ่นยนต์ที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ ถูกออกแบบโดยบริษัท เอ็นจิเนียร์ อาร์ท (Engineered Arts) อันเป็นบริษัทเทคโนโลยีหุ่นยนต์สัญชาติอังกฤษ ที่มีเป้าหมายในการออกแบบและพัฒนาให้อเมกาสามารถแสดงออกได้คล้ายกับมนุษย์มากที่สุด โดยอาศัยการทำงานของระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI) ทำให้ปัจจุบันอเมกาได้ชื่อว่าเป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนี้ และหลายครั้งนับตั้งแต่เปิดตัวที่การตอบสนองของหุ่นยนต์อเมกาสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คน อย่างตอนที่มันแสดงสีหน้าและท่าทางตอบสนองต่อการสัมผัสจากมนุษย์ที่พยายามใช้มือแตะจมูกของมันอย่างรวดเร็วและสมจริง ราวกับเป็นภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์กราฟิกส์

ล่าสุดอเมกาสามารถแสดงสีหน้าเลียนแบบมนุษย์ได้สมจริงมากขึ้นแล้ว เนื่องจากทีมพัฒนาได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์สร้างการเคลื่อนไหวใหม่จำนวน 12 ตัว บนใบหน้าของหุ่นยนต์ และฝึกให้เอไอของหุ่นยนต์ใช้อุปกรณ์สร้างการเคลื่อนไหวดังกล่าวซ้ำ ๆ คล้ายกับการฝึกเด็กเล็กให้ใช้มัดกล้ามเนื้อ
ซึ่งอุปกรณ์สร้างการเคลื่อนไหวนี้จะทำหน้าที่คล้ายกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าของมนุษย์ อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีการแสดงออกทางสีหน้าที่ละเอียดอ่อน โดยขั้นตอนต่อไปของการพัฒนาก็คือการหาวิธีการควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าของหุ่นยนต์

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทางบริษัทได้เปิดให้ซื้อและเช่าหุ่นยนต์อเมกาได้แล้วผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของบริษัท www.engineeredarts.co.uk ซึ่งหุ่นยนต์ที่ถูกขายไปแล้วจะยังคงได้รับการอัปเดตข้อมูลและชุดคำสั่งใหม่อยู่เสมอผ่านคลาวด์ (Cloud) นอกจากนี้ยังช่วยให้เจ้าของสามารถควบคุมหุ่นยนต์จากที่ไหนบนโลกก็ได้ อีกทั้งโครงสร้างของหุ่นยนต์ยังเป็นแบบโมดูลาร์ (Modular) จึงสามารถถอดหรือต่อเติมชิ้นส่วนได้ง่ายตามต้องการ

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/122437/

จีนแห่เปิดร้านอาหารหุ่นยนต์-AI แก้ปัญหาขาดแคลนพนักงานเสิร์ฟ-แม่ครัว

ปัญหาแรงงานขาดแคลนทำให้ภาพหุ่นยนต์วิ่งเสิร์ฟอาหารในร้านต่าง ๆ เริ่มพบได้มากขึ้นในหลายประเทศรวมถึงไทย

แต่ในประเทศจีนกำลังก้าวไปอีกขั้นด้วยการทดลองเปิดร้านอาหารแบบไร้พนักงานเสิร์ฟและคนครัว โดยใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนทั้งหมด ตั้งแต่การปรุงไปจนถึงเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าที่โต๊ะ ส่วนการคิดเงินเป็นแบบบริการตนเอง

สำนักข่าวนิกเคอิเอเชีย รายงานถึงปรากฏการณ์นี้ว่า ร้านอาหารแบบอัตโนมัติเริ่มผุดขึ้นหลายแห่งในแดนมังกร ในรูปแบบโรงอาหารเอไอ (AI canteen) ซึ่งเป็นร้านอาหารที่อาศัยหุ่นยนต์และระบบปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอทำหน้าที่แทนทั้งพนักงานและคนครัว เพื่อให้บริการลูกค้า ปัจจุบันมี 2 สาขาในกรุงเซี่ยงไฮ้ และเตรียมเปิดสาขาที่ 3 เร็ว ๆ นี้

“ลี่ หมิง” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เซี่ยงไฮ้ ชีเชียง ยี่เชียง (Shanghai Xixiang Yixiang) ผู้บริหารเชนโรงอาหารเอไอ อธิบายว่า ระบบของร้านจะเป็นแบบกึ่งบริการตนเองสไตล์บุฟเฟต์ โดยหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ปรุงอาหาร และนำมาเสิร์ฟที่เคาน์เตอร์ รวมถึงลวกเส้นบะหมี่และเทใส่ชามให้
ซึ่งลูกค้าจะตักอาหารที่ต้องการใส่จานของตน และนำไปคิดเงินที่เครื่องชำระเงิน ซึ่งจะมีกล้องและระบบตรวจจับภาพตรวจสอบอาหารที่ลูกค้าตักเพื่อคำนวณราคา

โดยหัวใจของร้านนี้คือ ระบบเอไอที่ทำหน้าที่ปรุงอาหารจริง ๆ ในแบบเดียวกับเชฟที่เป็นมนุษย์ ผ่านการควบคุมหุ่นยนต์ เช่น ลวกเส้นบะหมี่ อบอาหาร ฯลฯ รวมถึงคอยตรวจสอบวัตถุดิบที่ใช้ว่าถูกต้องตามเมนูที่กำหนดไปจนถึงเติมอาหารที่หมด ไม่ใช่เพียงการนำอาหารแช่แข็งมาอุ่นเหมือนในอดีต รวมถึงยังสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลความนิยมอาหารแต่ละเมนูในแต่ละวันและแต่ละช่วงเวลา เพื่อเลือกเมนูที่จะทำมาขายให้เหมาะสมกับดีมานด์ในช่วงนั้น ๆ ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ ร้านอาหารดังกล่าวยังมีการใช้คนเพียงการล้างเครื่องครัวและทิ้งขยะ-น้ำเสียเท่านั้น

นอกจากนี้ การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ ยังทำให้ได้เปรียบด้านการควบคุมคุณภาพและรสชาติอาหารให้คงที่ได้ง่ายกว่าใช้มนุษย์ เนื่องจากแม้แต่คนครัวที่ชำนาญ แต่เมื่อปริมาณงานมากเกินไป เช่น ช่วงพีค หรือเกิดปัญหาขาดแรงงานอาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการทำอาหารจนมาตรฐานตกลงไปได้ แม้จะมีการใช้อาหารแช่แข็งเพื่อลดปัญหานี้ แต่ก็จะไม่ได้รสชาติที่ดีเท่าอาหารที่ปรุงสด ๆ ในร้าน

ร้านนี้ตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่า หุ่นยนต์ทำอาหารและระบบเอไอจะสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่กำลังคุกคามธุรกิจร้านอาหารอยู่ได้ ด้วยการทำให้กระบวนการเตรียมอาหารเป็นมาตรฐานเดียวกันและเสิร์ฟเมนูที่สดใหม่รวมถึงดีต่อสุขภาพให้ลูกค้า และแน่นอนว่ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจร้านอาหารลงด้วยเช่นกันเพราะโมเดลของเราใช้คนแค่ 6 คน จะสามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 3,000 คน

โดย เซี่ยงไฮ้ ชีเชียง ยี่เชียง เปิดโรงอาหารเอไอแห่งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 ด้วยขนาดเพียง 20 ที่นั่ง แต่สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากถึง 400-500 ต่อวัน การตอบรับล้นหลามนี้ทำให้บริษัทตัดสินใจขยายสาขา 2 และเตรียมเปิดสาขาที่ 3 ในเดือนสิงหาคม 2565 นี้ รวมถึงเล็งขยายพื้นที่ไปตั้งสาขานอกเขตเมืองเซี่ยงไฮ้

อ้างอิง : https://www.prachachat.net/marketing/news-1015181

สตาร์ทอัพคิดค้น “หุ่นยนต์แยกขยะ” รีไซเคิลด้วยระบบ AI สุดอัจฉริยะ

นับเป็นนวัตกรรมที่สุดล้ำสมัยและอาจเปลี่ยนโลกการรีไซเคิลไปเลยก็ว่าได้ เพราะการแยกขยะของ Trashbot หรือหุ่นยนต์แยกขยะจะสร้างความแม่นยำและการรีไซเคิลจะเกิดการปนเปื้อนต่ำกว่ารูปแบบปกติ ทำให้มีของเสียน้อยลงและรีไซเคิลได้มากขึ้น

หุ่นยนต์แยกขยะตัวนี้มีชื่อว่า “AMP Robotics” โดยจะสามารถจัดการขยะเข้าคู่กับสายพานลำเลียงเพื่อคัดแยกวัสดุในโรงงานอัตโนมัติขนาดใหญ่ เทคโนโลยีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของมนุษย์ในการรีไซเคิล ซึ่งโดยทั่วไปขยะทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกแยกมาและทำให้ยากต่อการรีไซเคิล

สตาร์ทอัพที่คิดค้นหุ่นยนต์ตัวนี้มีชื่อว่า CleanRobotics ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 จุดมุ่งหมายหวังจะแก้ไขปัญหา ระบบขยะของบริษัทในโคโลราโด ซึ่งใช้การเรียนรู้ของเครื่องหรือ AI ประกอบกับระบบหุ่นยนต์เพื่อทำการคัดแยกวัสดุจากจุดทิ้งเพียงจุดเดียว ซึ่งทางบริษัทอ้างว่าเครื่องจักรสามารถทำได้ด้วยความแม่นยำประมาณ 90% อาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ดีกว่าที่มนุษย์ทั่วไปทำอย่างแน่นอน
ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์และคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้เองได้ในตัว หุ่นยนต์คัดแยกขยะจึงรวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยพัฒนากระบวนการคัดแยกได้อย่างดีเยี่ยมกว่ามนุษย์ทั่วไป

CleanRobotics ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเป็นอนาคตของการรีไซเคิล แต่ยังสร้างข้อมูลที่ดีสำหรับการตรวจสอบของเสีย ทริกเกอร์การแจ้งเตือนความสมบูรณ์ และคุณสมบัติการแสดงผลขนาดใหญ่สำหรับเนื้อหาวิดีโอ และการใช้ระบบคลาวด์เก็บข้อมูล จะทำให้หุ่นยนต์ TrashBot ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป”

หุ่นยนต์เหล่านี้ได้มีหลากหลายบริษัทเข้ามาร่วมทุนและสนใจนำไปใช้งานจริงในพื้นที่ต่างๆ เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาขยะได้เป็นอย่างดี ในอนาคตบริษัทกำลังมองหาความร่วมมือในจีน ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เงินทุนจะไปสู่การจ้างงานเพิ่มเติม ปรับปรุงการผลิต และเร่งการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์แยกขยะเหล่านี้

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital/828511

จีไอทีพัฒนาระบบ AI ช่วยวิเคราะห์แหล่งกำเนิดอัญมณี เพิ่มมูลค่าสินค้า

วันที่ 15 สิงหาคม 2565 นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า GIT ได้สร้างนวัตกรรมด้านการตรวจสอบอัญมณี โดยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบ และการผลิตสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นการยกระดับงานวิจัยให้เหนือกว่า และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับวงการอัญมณีโลก

โดยการใช้ระบบ AI (Artificial Intelligence) มาช่วยในการตัดสินว่าอัญมณีที่ทำการตรวจสอบนั้น มาจากประเทศใด แหล่งใด อันเป็นการเสริมความมั่นใจให้กับผู้ครอบครองอัญมณี และเพิ่มมูลค่าให้กับวงการอัญมณีและเครื่องประดับ ที่มีความนิยมการเลือกซื้อ เลือกใช้อัญมณีเฉพาะแหล่ง
“การตรวจสอบอัญมณีจากนี้ไป จะเป็นการรวบรวมข้อมูลอัญมณีจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ซึ่งจะต้องรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างจำนวนมาก ทำให้ยิ่งเกิดความแม่นยำในการวิเคราะห์แหล่งกำเนิดของอัญมณีนั้น ๆ และเทียบได้กับการใช้ประสบการณ์และความสามารถของอัญมณีศาสตร์ที่ต้องสั่งสมมาเป็นระยะเวลานานหลาย ๆ ปี และมีความแม่นยำ ทำให้เกิดการซื้อขายอย่างมั่นใจ และได้อัญมณีจากแหล่งกำเนิดที่ต้องการ
โดยคาดว่าในอนาคตการใช้ระบบ AI จะเป็นระบบหลักที่เทียบเคียงกับการใช้นักอัญมณีศาสตร์ที่มีประสบการณ์หลายปี ช่วยทดแทนการขาดแคลนนักอัญมณีศาสตร์และลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์อัญมณีแต่ละเม็ดได้อย่างมาก” นายสุเมธกล่าว

นายสุเมธกล่าวอีกว่า การซื้อขายอัญมณีในปัจจุบัน หากมีการระบุแหล่งกำเนิดของอัญมณีในใบรับรองอัญมณี จะได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากส่งผลต่อมูลค่าของอัญมณี แต่ที่ผ่านมา การระบุแหล่งกำเนิด ต้องใช้ข้อมูลทั้งองค์ประกอบทางเคมีและลักษณะทางสเปกโทรสโกปีที่ได้จากการวิเคราะห์ของเครื่องมือขั้นสูงมาประกอบการพิจารณา

ซึ่งมีข้อมูลจำนวนมากและมีความซับซ้อนในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ แต่การนำ AI มาช่วยในการจัดกลุ่มของข้อมูลแหล่งกำเนิดอัญมณีต่าง ๆ จะทำให้สามารถระบุแหล่งกำเนิดที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการออกใบรับรองอัญมณี

ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2563 GIT ได้เริ่มจัดทำระบบฐานข้อมูลแหล่งกำเนิดพลอยทับทิม ต่อมาปี 2564 ได้จัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์พลอยไพลิน และปี 2565 ได้จัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์พลอยมรกต และปีต่อ ๆ ไป ตั้งเป้าขยายขอบเขตไปยังพลอยชนิดอื่น ๆ ซึ่งหากมีข้อมูลพลอยและอัญมณีครบทั้งหมด จะช่วยทำให้สามารถวิเคราะห์แหล่งกำเนิดอัญมณีได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น สามารถนำมาระบุไว้ในใบรับรอง ทำให้เกิดการซื้อขายได้เร็วขึ้น สนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการหมุนเวียน และสนับสนุนการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ รวมทั้งช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก

อ้างอิง :  https://www.prachachat.net/economy/news-1014365

รพ. กรุงเทพ ทุ่มงบ 100 ลบ. ลงทุนเครื่องจัดยาอัตโนมัติ เพื่อรักษาคุณภาพของยาและความปลอดภัยของผู้ป่วย

โรงพยาบาลกรุงเทพ ทุ่มลงทุน 100 ล้านบาท นำเครื่องจัดยาอัตโนมัติมาใช้ มุ่งเน้นด้านความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถจัดยาได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ได้ทั้งยาเม็ดเปลือย ยาเป็นแผง ตัดแผงยา นับจำนวนยาได้ด้วยเครื่อง พร้อมระบุวันและเช็กล็อตการผลิตยา บันทึกข้อมูลการจัดยาได้อย่างละเอียด สามารถตรวจสอบเรียกคืนยาจากผู้ป่วยได้

พญ. เมธินี ไหมแพง รองประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรงพยาบาลกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ลงทุนเครื่องจัดยาอัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ให้มีความถูกต้อง แม่นยำ ลดความคลาดเคลื่อนในขั้นตอนการจัดและจ่ายยา ควบคู่กับรถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะ (Smart Mobile Medication Cart) ช่วยลดการปนเปื้อน และเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้ผู้ป่วยได้รับยาได้ถูกคน ถูกยา และถูกเวลา โดยปัจจุบัน มีทั้งหมด 3 เครื่อง ในอาคารหลัก คือ รพ. กรุงเทพ และ รพ. กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ใช้ใน 11 หอผู้ป่วยในของโรงพยาบาล รองรับคำสั่งยาของแพทย์ได้มากกว่า 10,000 รายการยา / ต่อวัน

ภญ. อุไร เอี่ยวสีหยก ผู้อำนวยการฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า เพราะความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในทุก ๆ กระบวนการการรักษา โดยเครื่องจัดยาอัตโนมัติสำหรับผู้ป่วยนอก (OPD) มีประสิทธิภาพสูงสามารถบรรจุยาเม็ดเปลือยได้ถึง 220 รายการ จัดยาอัตโนมัติได้ 15 ช่องพร้อมกัน เป็นระบบปิด ไม่มีการสัมผัส ป้องกันการปนเปื้อนของยาต่างชนิด ใช้เวลาสั้นลง สามารถบริการผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ สำหรับเครื่องจัดยาอัตโนมัติ สำหรับผู้ป่วยใน (IPD) เป็นเครื่องรุ่นใหม่ในประเทศไทย จุดเด่นที่สุดของเครื่อง คือ สามารถจัดเตรียมยาให้พร้อมใช้ แบบ unit dose ทั้งยาฉีดและยาพ่นขนาดเล็ก Prefilled Syringe ยาเม็ดได้ทั้งยาเม็ดเปลือยและแผง โดยเฉพาะยาเม็ดแผงจะตัดแผงยาแต่ละเม็ดให้อยู่ในพลาสติกเคลือบแผงเดิม (Original Blister) ลงไปถึงแต่ละเม็ดยา และนับจำนวนยา จ่ายยาออกมาเป็นชุดยาเฉพาะผู้ป่วยตามคำสั่งแพทย์ในแต่ละวัน บันทึกข้อมูลการจ่ายยา จำนวนยาที่ใช้ไปแล้วและยาที่คงเหลือจำแนกตามคนไข้ ตามรายการยา รวมถึงยังมี Barcode ระบุข้อมูลยา ล็อตการผลิต และวันหมดอายุ สามารถระบุวันและเช็กล็อตยาได้ ทำให้ตรวจสอบและเรียกยาคืนกลับมาจากผู้ป่วยในกรณีที่ยามีปัญหาได้อย่างสะดวก และบริหารยา ส่งถึงผู้ป่วยโดยรถเข็นจ่ายยาอัจฉริยะ (Medication Cart) เป็นนวัตกรรม ที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับรถเข็นจัดยา เพิ่มระบบยืนยันตัวตนพยาบาลและยืนยันผู้ป่วยก่อนการนำส่งยา ช่วยเพิ่มความแม่นยำ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างปลอดภัย เมื่อมารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลกรุงเทพ

อ้างอิง : https://www.prachachat.net/public-relations/news-1022190

น่ารักเกินไปแล้ว! เปิดตัว myBuddy หุ่นยนต์ผู้ช่วยตัวจิ๋วที่ทำได้สารพัดอย่าง

สตาร์ทอัพจีนเปิดตัว myBuddy หุ่นยนต์ผู้ช่วยที่กะทัดรัดที่สุดในโลก พร้อมฟีเจอร์ทำงานและระบบเรียนรู้ด้วยตัวเองแบบครบวงจร

เอลเลแฟนต์ รอบอติกส์ (Elephant Robotics) เป็นชื่อของบริษัทหุ่นยนต์น้องใหม่จากแดนมังกรที่เน้นวิสัยทัศน์การสร้างหุ่นยนต์สำหรับทุกชีวิต นับตั้งแต่การก่อตั้งในปี 2016 บริษัทก็ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงานหรือโคบอท (Collaborative Robot: Cobot) ซึ่งพัฒนามาจากราสเบอร์รี่พาย (Raspberry Pi) แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กยอดนิยมในวงการหุ่นยนต์และสินค้า IoT (Internet of Things) โดยล่าสุดบริษัทก็ได้เปิดตัวมายบัดดี้ (myBuddy) โคบอท (Cobot) ที่สุดแสนจะน่ารักและทำงานได้หลายอย่างที่วางจำหน่ายแล้วในตอนนี้

มายบัดดี้ (myBuddy) เป็นโคบอท (Cobot) ที่มีแขนช่วยจับ 2 แขน แต่ละข้างมีวงรัศมีการทำงานอยู่ที่ 280 มิลลิเมตร รับน้ำหนักได้ข้างละ 250 กรัม เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มีค่าความอิสระ (Degree of Freedom) อยู่ที่ 13 ซึ่งมากกว่าแขนของมนุษย์ที่มีค่าเพียง 7 เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าแขนกลของมายบัดดี้ (myBuddy) สามารถทำงานได้อย่างอิสระและสามารถเลียนแบบลักษณะการขยับแบบมนุษย์ได้ เช่น โบกธง ลูบตัวแมว ทำท่ารูปหัวใจ เป็นต้น

ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารกับมายบัดดี้ (myBuddy) ผ่านทางหน้าจอโต้ตอบ (Interactive Display) ขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบแสดงสีหน้า 20 แบบ ภายในตัว ติดตั้งกล้อง HD สำหรับสำรวจรอบตัวหุ่นยนต์ จดจำใบหน้าผู้ใช้งาน ระบุตำแหน่งสิ่งของ อ่านคิวอาร์โค้ด (QR Code) รวมถึงติดตามเส้นทางวัตถุที่ถูกโยนได้อีกด้วย ขับเคลื่อนด้วยราสเบอร์รี่พาย 4 บี (Raspberry Pi 4 B) หน่วยประมวลผลแบบ 64 บิต ความเร็ว 1.5 กิกะเฮิรตซ์ (GHz) หน่วยความจำ 2 กิกะไบต์ (GB) สำหรับการประมวลผลระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของระบบ และยังทำงานบนพื้นฐานระบบเปิด (Open-source) ผู้ใช้งานจึงสามารถเข้ามาปรับแต่งการทำงานด้วยภาษาโค้ด (Coding) แบบไพธอน (Python) ผ่านการเชื่อมต่อด้วยพอร์ตยูเอสบี (USB) หรือพอร์ตแลน (RJ45) ได้ รวมถึงยังสามารถสร้างระบบจำลองการทำงานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ด้วยเครื่องมือที่ชื่อว่าอาร์โอเอส (ROS) ได้อีกด้วย

ระบบจำลองที่ติดตั้งในมายบัดดี้ (myBuddy) เป็นส่วนสำคัญที่ผู้พัฒนาต้องการให้ผู้ใช้นำไปต่อยอดในฐานะโคบอท (Cobot) ที่ครบเครื่อง เพราะนอกเหนือจากการทำงานทั่วไปอย่างเลียนแบบการขยับตัวของมนุษย์ มายบัดดี้ยังสามารถเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยการวิจัยในงานวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ ได้ รวมถึงยังสามารถช่วยแพทย์ฝึกการผ่าตัดภายใต้ระบบอาร์โอเอส (ROS) ที่ช่วยสร้างสภาพการผ่าตัดจำลองขึ้นมา โดยบริษัทยังได้เสนอส่วนเสริม (Arm accessory) สำหรับมายบัดดี้ (myBuddy) กว่า 20 ประเภท เช่น ที่จับมือถือ ถาดรอง กล้องเสริม เป็นต้น

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/122786/

Google เพิ่ม AI ประมวลผลภาษาให้หุ่นยนต์ผู้ช่วยเข้าใจเรามากยิ่งขึ้น

Alphabet บริษัทแม่ของ Google กำลังรวมโครงการวิจัยที่มีความทะเยอทะยานที่สุดของพวกเขาสองโครงการเข้าด้วยกัน ได้แก่ วิทยาการหุ่นยนต์ และ AI ที่มีความสามารถในการเข้าใจภาษา เพื่อพยายามสร้าง “หุ่นยนต์ผู้ช่วย” ที่สามารถเข้าใจคำสั่งภาษาที่เราพูดกันเป็นธรรมชาติได้

ตั้งแต่ปี 2019 บริษัท Alphabet ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานง่ายๆได้ เช่น หยิบเครื่องดื่มและทำความสะอาดพื้นผิว แต่โปรเจคพวกนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นกล่าวคือหุ่นยนต์เหล่านั้นยังช้าและมีความลังเล ซึ่ง ณ ปัจจุบันทางบริษัทได้ปรับปรุงความเข้าใจในภาษาของหุ่นยนต์โดยใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ Google

Google กล่าวว่าการรวมโมเดลขนาดใหญ่ของพวกเขาอย่าง PaLM-SayCan เข้ากับหุ่นยนต์ ทำให้พวกมันสามารถวางแผนการตอบสนองที่ถูกต้องต่อคำสั่งพื้นฐานของผู้ใช้งาน ได้ถึง 84 เปอร์เซ็นต์ และดำเนินการได้สำเร็จ 74 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นอัตราที่น่าพอใจสำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้มีคำสั่งพื้นฐานทั้งหมดที่ผู้ใช้อาจจะทำการสั่งการหุ่นยนต์ จึงไม่ชัดเจนว่าคำสั่งเหล่านี้ที่มีอยู่นั้นมีข้อจำกัดอย่างไร

นั่นเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ Google และคนอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับหุ่นยนต์ในบ้าน เพราะว่าชีวิตจริงนั้นมีความยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก มีคำสั่งที่ซับซ้อนมากเกินไปที่เราอยากจะถามหุ่นยนต์บ้านจริงๆ ตั้งแต่ “ทำความสะอาดซีเรียลที่ฉันเพิ่งทำหกไว้ใต้โซฟา” ไปจนถึง “ผัดหัวหอมสำหรับซอสพาสต้า” (ซึ่งคำสั่งทั้งสองนั้นต้องการการประยุกต์ใช้ความรู้มากมาย ตั้งแต่วิธีทำความสะอาดซีเรียล หัวหอมในตู้เย็น วิธีเตรียมธัญพืช และอื่นๆ)

ณ ปัจจุบัน เนื่องจาก AI นั้นอำนวยความสะดวกและช่วยในการดำเนินชีวิตหลากหลายอย่าง ทำให้ตอนนี้เราจึงเห็นหุ่นยนต์ประเภทใหม่ๆเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก แต่หุ่นยนต์เหล่านี้ยังมีข้อจำกัดในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้อยู่มาก

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/8/16/23307730/google-everyday-robots-project-ai-language-skills-palm-saycan

Xiaomi เปิดตัว CyberOne หุ่นยนต์คู่แข่ง Optimus ของ Tesla

Xiaomi บริษัทเทคโนโลยีของจีนได้เปิดตัวหุ่นยนต์ต้นแบบที่ดูเรียบหรูมีชื่อว่า CyberOne

หุ่นยนต์เปิดตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจากการสาธิตสั้นๆ หุ่นยนต์นี้นั้นสามารถทำได้มากกว่าแค่เดินข้ามเวทีเฉยๆ ซึ่ง CyberOne แสดงให้เราเห็นถึงสถานะปัจจุบันของการพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับบริษัทที่ไม่เชี่ยวชาญอย่าง Xiaomi และนำเสนอสิ่งที่เราอาจคาดหวังจากหุ่นยนต์ชื่อดังที่ดูคล้ายคลึงกัน หรือหุ่นยนต์ Optimus ของ Tesla ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ที่จะเปิดตัวต้นแบบในวันที่ 30 กันยายน

หุ่นยนต์ของ Xiaomi นั้นมีระบบการมองเห็นบางประเภทสำหรับการนำทางที่สามารถตรวจจับความลึกได้ไกลถึงแปดเมตร และ Xiaomi อ้างว่ามันสามารถ “รับรู้” อารมณ์ของมนุษย์ได้ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่ามันใช้ระบบ AI เพื่อแยกวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า

ในการแถลงข่าว Xiaomi ได้อธิบายว่า CyberOne นั้นเป็น “สัญลักษณ์ของการอุทิศตนของ Xiaomi ในการสร้างระบบนิเวศทางเทคโนโลยีขึ้นมา” และกล่าวว่าการทำงานกับหุ่นยนต์นั้นจะ “ทำให้เกิดสถานการณ์การใช้งานมากขึ้นในด้านอื่น ๆ ” (อย่างเช่นเหมือง) ซึ่งอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า CyberOne เป็นเครื่องมือทางการตลาดและเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการวิจัยและพัฒนาที่กว้างขึ้น และ Xiaomi ไม่ได้สัญญาว่าจะสร้างหุ่นยนต์บัตเลอร์ในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Elon Musk แล้ว เขาได้สัญญาว่าจะสร้างหุ่นยนต์บัตเลอร์ และกล่าวว่าเครื่องจักรจะสามารถปฏิบัติตามคำสั่งของมนุษย์ที่ซับซ้อนเช่น “โปรดไปที่ร้านและซื้อของชำต่อไปนี้ให้ฉัน”

อย่างไรก็ตามคำสัญญานี้ของ Elon Musk อาจอยู่ไกลเกินกว่าที่เทคโนโลยีสมัยนี้จะทำได้ หุ่นยนต์สามารถทำงานขั้นพื้นฐานได้ แต่สำหรับในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดและเฉพาะทาง อย่างเช่น หุ่นยนต์อุตสาหกรรมในโรงงาน หรือ หุ่นยนต์เครื่องดูดฝุ่น แต่เมื่อพูดถึงการสร้างหุ่นยนต์สำหรับใช้งานทั่วไปแล้ว CyberOne ของ Xiaomi นั้นดูจะเป็นไปได้มากกว่า

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/8/16/23307808/xiaomi-cyberone-humanoid-robot-tesla-optimus-bot-specs-comparison

Amazon โชว์ความล้ำของ Alexa ให้เกมเมอร์สั่งเล่นเกมด้วยเสียงได้

Amazon ได้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของ Alexa ให้สามารถทำได้ยิ่งกว่าการสั่งการ แต่ Alexa จะสามารถเล่นเกมได้ด้วย ซึ่งจะอาจทำให้อนาคตการเล่นเกมสนุกยิ่งขึ้นและเปลี่ยนไป

Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Alexa Game Control ให้เกมเมอร์เล่นเกมโดยใช้เสียงของตัวเองได้ โดยเกมแรกคือ “Dead Island 2” หากใครเป็นสาวกซอมบี้ ก็เตรียมตะโกนใส่ได้เลย

Alexa Game Control ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ใดในการใช้ หากเกมรองรับ สิ่งที่คุณต้องมีคือชุดหูฟังหรือไมโครโฟนที่เชื่อมต่อกับพีซีหรือคอนโซล Xbox ของคุณเพื่อใช้ Alexa Game Control ในเกม

แต่ผู้เล่นต้องมีบัญชี Amazon หรือ Prime พื้นฐานฟรีเพื่อใช้ Alexa Game Control สามารถเข้าถึงได้โดยใช้ push-to-talk ซึ่งคุณต้องกดปุ่มหรือคีย์ค้างไว้เพื่อเปิดใช้งานไมโครโฟนของคุณ หรือ Voice Activity ซึ่งเป็นคุณสมบัติแฮนด์ฟรีที่จะตรวจจับเมื่อผู้ใช้เริ่มพูดโดยอัตโนมัติ

Alexa Game Control สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีเดียวกับที่ขับเคลื่อน Alexa voice AI ผู้เล่นจะสามารถเข้าถึงคุณสมบัติต่างๆ ของ Alexa ได้ด้วย เช่น การควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม ตั้งเวลา และตรวจสอบสภาพอากาศ

เริ่มต้นในช่วงแรก Alexa Game Control จะให้บริการเป็นภาษาอังกฤษ และจะมีการอัปเดตภาษาต่างๆ มากขึ้น

ตอนนี้สามารถใช้งานร่วมกับ Xbox และ PC ได้เท่านั้น และหวังว่า Alexa Game Control จะพร้อมใช้งานบนอุปกรณ์อื่นเช่นกัน เนื่องจาก Dead Island 2 จะเปิดตัวในอีกหลากหลายแพลตฟอร์ม Xbox, PlayStation 4 และ 5, PC และ Stadia ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2023 นี้

Alexa Game Control เป็นไอเดียที่น่าสนใจการนำ Voice AI เข้ามาช่วยให้คนเล่นเกมมีความสะดวกและสนุกสนานยิ่งขึ้นในหลากหลายกิจกรรม เช่น ขณะเล่นเกมสามารถสั่งอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่นๆได้ เช่น เปิด-ปิดไฟ , ตั้งเวลาเพื่อเตือนให้ทานอาหารตรงเวลา , หรือสั่งปรับไฟอัจฉริยะให้เข้ากับบรรยากาศการเล่นเกมก็สามารถทำได้

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/828955

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 19 – 25 สิงหาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก