ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 3 เดือนกรกฎาคม 2022

EMO หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยง เพื่อนซี้ตัวจิ๋วที่มาพร้อมปัญญาประดิษฐ์

EMO หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงที่มาพร้อมกับปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม เพื่อสร้างบุคลิกภาพและนิสัยให้กับตนเอง

อีโม (EMO) เป็นหุ่นยนต์เอไอ (AI) หรือหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยง คอยเป็นเพื่อนซี้คู่ใจเพื่อคลายเหงา อีโมสามารถทำได้ตั้งแต่รับคำสั่งสำหรับเปิดเพลงและปิดเพลง เต้น รวมไปถึงการเป็นเพื่อนเล่นเกมกับผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ อีโมยังมาพร้อมกับบทบาทผู้ช่วย สามารถรับคำสั่งให้เปิดไฟและปิดไฟได้ (ไฟของอีโมที่มาพร้อมกับหุ่นยนต์อีโม) ทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุก คอยตอบคำถาม และอื่น ๆ ปัญญาประดิษฐ์ของอีโมจะทำหน้าที่คล้ายกับสมองของมนุษย์ โดยจะทำการเก็บข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมถึงวิธีที่ผู้ใช้งานปฏิบัติกับอีโม เพื่อนำมาประมวลผลและสร้างบุลคลิกภาพและนิสัยให้กับตนเอง ดังนั้น หุ่นยนต์อีโมของแต่ละคนอาจมีนิสัยและบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งอีโมจะทำการแสดงออกผ่านสีหน้าและท่าทางมากกว่า 1,000 รูปแบบ

ความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ คือ อีโมสามารถติดตามเสียง จดจำวัตถุ และจดจำใบหน้าของคนได้มากถึง 10 คน แถมยังมีระบบนำทางที่แม่นยำเป็นของตนเอง จึงทำให้อีโมไม่เดินชนกับข้าวของ หรือร่วงหล่นจากที่สูง

บริเวณหน้าผากของอีโมจะมาพร้อมกับกล้องปัญญาประดิษฐ์มุมกว้าง (AI Wide angle Camera) ทำหน้าที่เสมือนกับดวงตา ส่วนไมโครโฟน 4 ตัว จะทำหน้าที่ดักจับเสียง เสมือนกับหู และมีเซนเซอร์กันหล่น (Optical Drop Sensor) อยู่ใต้เท้าทั้ง 2 ข้าง เป็นจำนวนข้างละ 2 ตัว คือด้านหน้าและด้านหลัง ในขณะที่ใต้ฝ่าเท้าด้านซ้ายมีตัวเชื่อมรองรับการชาร์จแบบไร้สายที่กำลังไฟ 5 วัตต์

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/119591/

จีนกำลังวิจัยระบบ AI สแกนใบหน้า วัดค่าความภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์

นักวิจัยในมณฑลอานฮุยที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนเผยว่าพวกเขาได้มีการพัฒนาเครื่องมือที่สามารถระบุความจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ผ่านการสแกนใบหน้าได้

จากคลิปสั้นๆ ที่ ศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเหอเฟย (Hefei Comprehensive National Science Center) อัปโหลดบน Weibo สังคมออนไลน์ของจีนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ได้ระบุว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ส่งเสริมการสร้างความภักดีต่อประเทศ ซึ่งปัจจุบันตัวโพสต์ดังกล่าวถูกลบออกไปแล้ว แต่ตัวข้อความสรุปของวิดีโอที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวันครบรอบการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนยังคงปรากฏอยู่ใน Internet Archive

ตามข้อความระบุว่า “การรับประกันคุณภาพของสมาชิกพรรคกำลังเป็นปัญหาที่ต้องการความร่วมมือ เครื่องมือตัวนี้เป็นอุดมการณ์ที่ชาญฉลาด โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อแยกแยะ รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้า, การอ่านค่าคลื่นไฟฟ้า (EEG) ของสมองและผิวหนัง ทำให้สามารถตรวจสอบระดับของสมาธิ, การรับรู้ และความเชี่ยวชาญด้านการศึกษาเกี่ยวกับอุดมการณ์และการเมือง เพื่อทำให้เข้าใจถึงประสิทธิผลของการศึกษามากขึ้น มันสามารถให้ข้อมูลที่แท้จริงแก่ผู้จัดการศึกษาเชิงอุดมการณ์และการเมือง เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับปรุงวิธีการศึกษาของพวกเขาและปรับปรุงเนื้อหาได้อย่างต่อเนื่อง”

อย่างไรก็ดีก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกลบไป ความคิดเห็นบางส่วนได้ประณามแนวคิดดังกล่าวว่าเป็น “การล้างสมองที่มีเทคโนโลยีสูง” ในขณะที่บางคนก็ได้มีการอ้างถึงนวนิยายดิสโทเปีย 1984 ของ George Orwell โดยกล่าวว่า พี่เบิ้ม (Big Brother) กำลังจับตามองพวกคุณอยู่

Song Da’an นักสังคมวิทยาจากมณฑลอานฮุยกล่าวว่า โพสต์ดังกล่าวถูกลบเนื่องจากมีความอ่อนไหวทางการเมือง และเทคโนโลยีตัวนี้มีพื้นฐานมาจากเครื่องจับเท็จ

“ศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งชาติเหอเฟยได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อวัดความภักดีของสมาชิกพรรคและผู้ปฏิบัติงาน นี่แสดงให้เห็นว่าพรรค CCP กำลังมีความเป็นเผด็จการมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในตรรกะของสังคมเผด็จการมีการเน้นย้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ในการควบคุมการคัดกรอง และสมาชิกในพรรคจะถูกมองว่ามีโอกาสที่จะเกิดแนวความคิดแตกแยกอันนำมาซึ่งความเสียหาย ทำให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นศัตรูของระบบ”

อ้างอิง : https://www.mxphone.com/chinese-researchers-develop-device-they-say-can-test-loyalty-of-ruling-party-members/

ผู้นำธุรกิจกว่าครึ่งโลกเชื่อลงทุน AI เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน

SambaNova Systems บริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และแพลตฟอร์มโซลูชันเพื่อใช้งานแอปพลิเคชัน AI และ Deep Learning ประกาศผลการวิจัยเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ภายในองค์กร ซึ่งพวกเขาพบว่าผู้นำธุรกิจกำลังปรับใช้ AI มากขึ้น และความก้าวหน้าสามารถเร่งขึ้นได้อีกโดยการก้าวข้ามการขยายตัวของโมเดลขนาดเล็กที่กระจัดกระจาย ซึ่งผู้นำระดับองค์กรกำลังวาง AI เป็นแกนหลักของกลยุทธ์เทคโนโลยี และสองในสาม (67%) เชื่อว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญภายใน 12 ถึง 24 เดือน

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับประเภทของการเปลี่ยนแปลงที่ AI จะมอบให้ ผู้นำธุรกิจระดับโลกได้กล่าวถึงสามอันดับแรกของพวกเขาโดย:

  • 80% คิดว่า AI จะปรับปรุงประสบการณ์ของพนักงานหรือลูกค้าโดยปรับปรุงกระบวนการการทำงานและลดเวลาการทำงาน
  • 68% คิดว่า AI จะลดต้นทุนด้วยกระบวนการอัตโนมัติ
  • 51% จะใช้ AI เพื่อเพิ่มผลกำไรผ่านการใช้ข้อมูลที่ดีขึ้นหรือเปิดแหล่งรายได้ใหม่

มีอีกเหตุผลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการนำ AI มาใช้ นั้นก็คือมันกำลังกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีการแข่งขันมากขึ้น ผลการวิจัยพบว่าเกือบสามในสี่ (72%) ของผู้นำธุรกิจเชื่อว่าคู่แข่งกำลังใช้ AI และเกือบสองในสาม (63%) กังวลว่าคู่แข่งจะใช้ AI เพื่อสร้างข้อได้เปรียบเหนือธุรกิจของตนเอง

นอกจากนั้นหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่องค์กรต้องเผชิญคือจำนวนโมเดล AI ที่ใช้งานจริงในงานโปรดักชัน เพราะมีเพียง 18% ขององค์กรที่ใช้ AI เท่านั้น ที่ปรับใช้มันด้วยความคิดริเริ่มที่จะใช้ในสเกลขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลือ 82% นั้นปรับใช้มันข้ามไปมาหลากหลายโปรแกรม ซึ่งมันจะสร้างอุปสรรคที่ไม่คาดคิดและรวมไปถึงก่อให้เกิดกลยุทธ์ AI ที่ไม่สอดคล้องกัน

อ้างอิง : https://www.reporter.net/news/over-half-of-global-business-leaders-believe-investing-in-ai-will-give-them-a-competitive/article_9c047cfa-f0e3-5b85-ae12-4755708ee6b2.html

สตาร์ตอัพสหรัฐฯ ใช้หุ่นยนต์ และ AI ช่วยทำฟาร์มเกษตร

บริษัทสตาร์ตอัพด้านการเกษตร ในสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำฟาร์มเกษตรปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน

แม้ว่าการเกษตรจะเป็นแหล่งสร้างอาหารของโลก แต่ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้ด้วยเช่นกัน เพราะต้องใช้ทรัพยากรหลายอย่างในการผลิต เช่น การใช้แหล่งน้ำจืดประมาณ 70% ของโลกเพื่อนำมาใช้ทำเกษตรกรรม ซึ่งขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้

บริษัทสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีการเกษตร ได้เสนอแนวคิดในการทำเกษตรกรรมแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยควบคุมปัจจัยการผลิต และหุ่นยนต์อัตโนมัติ ที่มีชื่อว่า Grover และ Phil มาทำหน้าที่เกษตรกรที่สามารถปลูกทุกอย่างได้ในเรือนกระจก

การทำเกษตรลักษณะนี้ เป็นการปลูกพืชในร่มที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยสภาพดินฟ้าอากาศ หรือสารอาหาร เพราะมีระบบ AI คอยทำหน้าที่ควบคุมปัจจัยเหล่านี้ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมภายในโรงเรือน และที่สำคัญยังเป็นการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน เพราะใช้ระบบการเพาะปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจำนวนมากเหมือนการปลูกพืชลงดิน จึงช่วยประหยัดน้ำในการเพาะปลูกได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีหุ่นยนต์ Grover และ Phil ที่คอยทำหน้าที่เป็นเกษตรกรช่วยดูแลฟาร์ม โดย Grover มีแขนกลที่ช่วยขนย้ายกระถางปลูกผัก กล้อง และเซนเซอร์ LiDAR ที่ช่วยสแกนตรวจเช็กคุณภาพของผักที่ปลูก แขนกลของ Gover รับน้ำหนักได้มากถึง 450 กิโลกรัม ส่วนหุ่นยนต์ Phil นั้นทำหน้าที่ตรวจเช็กความต้องการของพืช เช่น ระดับไนโตรเจน ความเป็นกรดในน้ำ ปริมาณน้ำ และสารอาหารที่ต้องการ โดยทำงานร่วมกับระบบ AI เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ความต้องการต่าง ๆ ของพืช

แม้ว่าการปลูกพืชในโรงเรือนจะมีระบบ AI และหุ่นยนต์ช่วยทำงานได้แล้ว แต่ก็ยังต้องไม่ได้ครบถ้วน 100% เพราะยังต้องอาศัยแรงงานคนบางส่วนเพื่อช่วยควบคุมการปลูกพืชอยู่ โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายการผลิตให้มากขึ้น เพื่อลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและพลังงานให้น้อยลง

อ้างอิง : https://news.thaipbs.or.th/content/317401

Meta เปิดตัว AI ใหม่ สำหรับช่วยตรวจสอบข้อมูลเชิงวิชาการให้ถูกต้อง

Meta เปิดตัวโครงการ AI ใหม่ “”Sphere”” เป็น AI ที่จะถูกฝึกให้เป็นนักปราชญ์สำหรับช่วยตอบคำถามแนวความรู้ทางวิชาการให้ได้อย่างแม่นยำ โดยใช้หลักการ Knowledge-Intensive Natural Language Processing หรือ KI-NLP ตัว AI จะผสานรวมเข้ากับคลังข้อมูลของตัวเอง เพื่อดูหรือหาคำตอบจากข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยิ่งตัว AI มีองค์ความรู้ที่ครอบคลุมมากเท่าไร Sphere ก็จะยิ่งสามารถตอบคำถามได้ดีและครบถ้วนมากขึ้นเท่านั้น

Sphere เป็น AI ที่ดึงข้อมูลไวท์บ็อกซ์ตัวแรก ซึ่งจะดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ทั้งหมดรวมไปจนถึงข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่ไม่มีโครงสร้าง หรือไม่ได้ถูกควบคุม เพื่อแก้ปัญหาการหาคำตอบจากระบบ Search Engine หรือ Wikipedia ที่เราไม่รู้ว่าข้อมูลดังกล่าวถูกต้องหรือครบถ้วนจริงแท้ขนาดไหน โดยตอนนี้ Sphere ได้รับการฝึกให้ตัว AI อ่านเอกสารความรู้เชิงวิชาการมามากกว่า 134 ล้านหน้าจากบนเว็บไซต์ต่าง ๆ และนำมาย่อย่อยเป็นข้อความกว่า 906 ล้านย่อหน้า ซึ่งความเจ๋งของ Sphere ในตอนนี้ คือมันสามารถตรวจสอบข้อมูลบน Wikipedia และสามารถบอกได้ว่ามีข้อมูลส่วนใดหายไปหรือไม่ครบถ้วน หากใครยังไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของ Sphere เรายังสามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่ Sphere รู้และปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ถูกต้องได้
ทาง Meta มองว่า Sphere จะสามารถเข้าถึงข้อมูลสาธารณะได้ดีกว่า AI เดิม ๆ ตัวอื่น ๆ โดย Sphere จะช่วยให้นักวิจัยดึงข้อมูลเพื่อจัดการกับเอกสารที่หลากหลายมาก ๆ ได้ รวมถึงยังป้องกันเรื่องข้อมูลที่ผิด ไม่สะอาด ไปจนถึงข้อความที่ไม่ต่อเนื่องได้ทั้งหมด

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/119105/

Make-A-Scene สร้างภาพวาดจากภาพสเก็ตช์และข้อความ

Meta เดินหน้าผลักดัน AI เกมศิลปะ ให้ผู้ใช้สร้างภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์โดยอิงจากภาพสเก็ตช์ของตัวเอง

Meta AI ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาที่รับผิดชอบด้านปัญญาประดิษฐ์ ของบริษัทโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Meta ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับโครงการวิจัยเชิงสำรวจที่เรียกว่า Make-A-Scene ซึ่งเป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยให้ทุกคนสามารถนำจินตนาการของพวกเขามาสู่ชีวิตจริง Make-A-Scene ตั้งเป้าที่จะก้าวไปไกลกว่าเครื่องมือสร้างรูปภาพด้วยข้อความทั่วไปโดยเพิ่มตัวเลือกให้ผู้ใช้วาดภาพร่างดิจิทัลอิสระของฉากเพื่อใช้เป็นฐานของภาพที่ต้องการ

เพื่อปรับแต่งผลลัพธ์จากโมเดลของพวกเขา ทีมงานที่ Meta ขอให้ผู้ประเมินที่เป็นมนุษย์ประเมินภาพที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรม AI ซึ่งจะมีภาพจำนวนสองภาพที่สร้างโดย Make-A-Scene ภาพหนึ่งเป็นภาพที่สร้างจากข้อความเฉยๆ และอีกภาพหนึ่งมาจากทั้งภาพร่างและข้อความ ซึ่งผลลัพธ์การเพิ่มภาพร่างปรากฏว่าทำให้ได้ภาพที่สอดคล้องกับคำอธิบายข้อความมากขึ้น คิดเป็น 66.3% ซึ่งMeta ตั้งข้อสังเกตว่า Make-A-Scene ยังสามารถ “”สร้าง layout ของฉากขึ้นมาอย่างเดียวได้ด้วยข้อความเช่นกัน หากนั่นคือสิ่งที่ผู้สร้างต้องการ””

ปัจจุบันซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณะ และจนถึงตอนนี้ได้มีการเปิดตัวให้กับพนักงานกับศิลปิน AI ไม่กี่คนเท่านั้น AI เช่น Sofia Crespo, Scott Eaton หรือ Alexander Reben นอกจากนั้น Refik Anadol หนึ่งในศิลปิน AI ได้ออกมากล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในการใช้โปรแกรมของเขาว่า “เหมือนว่าคุณกำลังจุ่มแปรงลงในจิตใจของเครื่องจักรและวาดภาพด้วยจิตสำนึกของเครื่องจักร” ในเวลาเดียวกัน Andy Boyatzis ผู้จัดการโปรแกรมที่ Meta ก็ได้ใช้ Make-A-Scene เพื่อสร้างงานศิลปะกับลูกเล็กๆของเขาที่อายุสองและสี่ขวบ โดยพวกเขาใช้ภาพวาดที่ครึกครื้นเพื่อทำให้ความคิดและจินตนาการของพวกเขาเป็นจริง

อ้างอิง : https://news.artnet.com/art-world/meta-ai-make-a-scene-2148057

กองทัพหุ่นยนต์ส่งสินค้า Starship ขยายบริการใน UK

หลาย ๆ ธุรกิจในต่างประเทศตอนนี้เริ่มหันมาใช้บริการส่งสินค้าแบบไร้การสัมผัสกันมากขึ้น ล่าสุดในสหราชอาณาจักรเองพึ่งมีการขยายบริการส่งสินค้าแบบใหม่ ใช้กองทัพหุ่นยนต์สุดน่ารักส่งของให้ถึงบ้าน

ผู้พัฒนาหุ่นยนต์ส่งสินค้า สตาร์ชิป (Starship) ประกาศขยายพื้นที่ให้บริการขนส่งสินค้าเพิ่มเติมในสหราชอาณาจักรให้ผู้ใช้งานอีกกว่า 33,000 ครัวเรือน ตอกย้ำความเติบโตของการใช้เทคโนโลยีขนส่งสินค้า เพื่อลดการสัมผัสและลดปัญหาขาดแคลนแรงงานได้เป็นอย่างดี

การขยายพื้นที่ให้บริการครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกับ โค-ออป (Co-op) ร้านค้าปลีกชื่อดังในอังกฤษ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็กสำหรับชุมชน ซึ่งจะทำการรับคำสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าด้วยหุ่นยนต์ ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากทำการสั่งซื้อ

โดย สตาร์ชิป เป็นหุ่นยนต์หกล้อ สูงประมาณ 60 เซนติเมตร บรรทุกของได้หนักสุดประมาณ 20 กิโลกรัม และทำความเร็วได้สูงสุดที่ 16 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวหุ่นยนต์ติดตั้งเซนเซอร์และระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อทำแผนที่และเรียนรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบ มีระบบตรวจจับวัตถุขั้นสูง ที่ทำงานด้วยความเร็วมากกว่า 2,000 เฟรมต่อวินาที และระบบแผนที่ช่วยให้หุ่นยนต์เข้าใจตำแหน่งของมันได้ใกล้เคียงพื้นที่จริง

สตาร์ชิปสามารถเดินทางไปตามถนนและทางเท้าได้ด้วยตนเอง โดยให้บริการจัดส่งพัสดุตามความต้องการ เพียงแค่สั่งการและควบคุมผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยก่อนหน้านี้เคยให้บริการแล้วที่ Bridgewater State University ซึ่งก็ได้เสียงตอบรับจากนักศึกษาและผู้ใช้งานเป็นอย่างดี

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/119680/

ช่วยแพทย์หาข้อมูลผู้ป่วยด้วย AI สร้างคำถามทางการแพทย์

นักวิจัยกำลังทำงานเพื่อสร้างโมเดล machine learning ที่สามารถช่วยให้แพทย์สามารถค้นหาข้อมูลในบันทึกสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แพทย์มักจะทำการค้นหาข้อมูลสุขภาพทางอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยที่จะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจในการรักษา แต่การใช้งานระบบการค้นหาเหล่านั้นค่อนข้างจะใช้ยาก การวิจัยแสดงให้เห็นว่าแม้แพทย์จะได้รับการฝึกอบรมให้ใช้บันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ หรือ electronic health record (EHR) ก็ตาม การค้นหาคำตอบสำหรับคำถามเพียงข้อเดียวก็อาจใช้เวลานานกว่าแปดนาทีโดยเฉลี่ย

นักวิจัยได้เริ่มพัฒนาโมเดล machine learning ที่สามารถปรับปรุงกระบวนการโดยการค้นหาข้อมูลที่แพทย์ต้องการใน EHR โดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม โมเดลที่มีประสิทธิภาพต้องใช้ชุดข้อมูลคำถามทางการแพทย์จำนวนมากในการเทรน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

เพื่อเอาชนะปัญหาการขาดแคลนข้อมูลนี้ นักวิจัยที่ MIT ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อศึกษาคำถามที่แพทย์ถาม จากนั้นพวกเขาจึงสร้างชุดข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะซึ่งมีคำถามที่เกี่ยวข้องทางการแพทย์มากกว่า 2,000 ข้อที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์

เมื่อพวกเขาใช้ชุดข้อมูลเหล่านั้นในการฝึกโมเดล machine learning เพื่อสร้างคำถามทางการแพทย์ ซึ่งผลลัพธ์ของโมเดลดังกล่าวถามคำถามที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคำถามจริงจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และด้วยชุดข้อมูลเหล่านี้ พวกเขาวางแผนที่จะสร้างคำถามทางการแพทย์จำนวนมาก และใช้คำถามเหล่านั้นเพื่อฝึกโมเดล machine learning ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ค้นหาข้อมูลที่ต้องการในบันทึกของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพวกเขากำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้

สำหรับขั้นตอนต่อไปในอนาคต พวกเขาวางแผนที่จะทำการฝึกโมเดล machine learning ที่สามารถสร้างคำถามทางการแพทย์ที่ดีได้เป็นพันหรือล้านคำถามโดยอัตโนมัติ จากนั้นจะนำไปใช้ในการฝึกโมเดลใหม่สำหรับการตอบคำถามอัตโนมัติ

อ้างอิง : https://news.mit.edu/2022/teaching-ai-ask-clinical-questions

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 15 – 21 กรกฎาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก