ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 4 เดือนกันยายน 2022

Qualcomm ชี้ระบบ AI จะเป็นตัวการหลักที่ทำให้กล้องมือถือถ่ายรูปได้ดีกว่ากล้อง DSLR

เทคโนโลยีการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนในปัจจุบันเริ่มพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนระยะซูมได้ สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ถ่ายในที่แสงน้อยดีขึ้น ฯลฯ จนสามารถเข้ามาแทนที่กล้องคอมแพ็คในตลาดไปได้เกือบ 100% แล้ว และในอนาคตกล้องมือถือจะยังพัฒนาไปได้มากกว่านี้อีก ซึ่งทาง Qualcomm ได้ออกมาบอกว่าระบบ AI จะกลายเป็นตัวการหลักที่ทำให้การถ่ายภาพด้วยมือถือสามารถก้าวข้ามกล้อง DSLR ไปได้

ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนค่ายต่างๆเริ่มใช้ตัว AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลมากขึ้นในการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน หน้าที่หลักๆของ AI คือการทำหน้าที่เป็นระบบประมวลผลภาพถ่าย ด้วยการลด Noise, ปรับแสงในภาพให้สวย หรือตัดขอบในโหมดภาพบุคคลให้เนียน รวมไปถึงช่วยเพิ่มความนิ่งในการถ่ายวิดีโออีกด้วย แต่ระบบ AI ในปัจจุบันนั้นยังไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาอีกหลาย ๆ ด้าน ไม่แน่ในอนาคตเราอาจจะสั่งได้เลยว่า อยากได้ภาพแนวไหนแบบไหน แล้ว AI สามารถถ่ายภาพและประมวลผลออกมาให้เลยก็ได้

ก่อนหน้านี้ทาง Sony ก็เคยออกมาบอกว่ากล้องมือถือในอนาคตจะถ่ายรูปได้ดีกว่ากล้อง DSLR ในอีกไม่กี่ปีเท่านั้น โดยทาง Sony บอกว่าขอเวลาแค่อีก 2 ปีเท่านั้น จะได้รู้กันว่ามันสามารถเป็นจริงได้

ล่าสุด Judd Heape หนึ่งในรองประธานบริษัท Qualcomm ก็ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยว่าอนาคตของกล้องมือถือ จะมีระบบ AI เป็นตัวการหลักที่จะให้มันมีความสามารถที่เหนือกว่ากล้อง DSLR ซะอีก โดย Heape ได้อธิบายว่าการทำงานของระบบ AI ด้านการถ่ายภาพจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนด้วยกัน

1.ระบบ AI จะแยกว่า สิ่งที่เห็นในภาพถ่ายประกอบด้วยอะไรบ้าง และมีสภาพแวดล้อมรอบข้างเป็นประเภทไหน
2.ระบบ AI จะเข้ามาจัดการฟีเจอร์ 3A ประกอบด้วย Auto-focus, Auto-white balance, Auto-exposure
3.ระบบ AI เข้าใจถึงความแตกต่างของฉากทิวทัศน์ (Scene) แต่ละส่วนในภาพ

เทคโนโลยี AI สำหรับถ่ายภาพในปัจจุบันพึ่งมาถึงขั้นตอนที่ 3 เท่านั้น ส่วนขั้นตอนที่ 4 จะเป็นขั้นตอนที่ AI สามารถประมวลผลภาพถ่ายโดยรวมทั้งหมด ทำให้เราสามารถปรับแต่งภาพถ่ายได้อย่างที่ต้องการ อย่างเช่น เราถ่ายรูปออกมารูปหนึ่งแล้วอยากให้มันได้อารมณ์แสงสีแบบเดียวกับออกมาจากนิตยสารดัง ๆ เจ้าระบบ AI ก็จะจัดให้ด้วยการปรับแต่งสี, รายละเอียด, White balance และอื่น ๆ ให้ออกมาได้ฟีลตามที่เราต้องการ
ซึ่งขั้นตอนที่ 4 นี้จะเป็นจริงได้ แต่อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกราว ๆ 3 – 5 ปี กว่าที่ระบบ AI จะทำให้การถ่ายภาพด้วยกล้องมือถือออกมาสมบูรณ์แบบ

ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่าภายในเวลาอีก 3 – 5 ปีข้างหน้า กล้องมือถือจะพัฒนาขึ้นไปได้ถึงขั้นไหน เพราะจากหลายปีที่ผ่านมาเราก็เห็นการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความละเอียดที่มากขึ้นจนแตะหลัก 200MP, เซนเซอร์กล้องขนาดใหญ่ 1 นิ้ว, ระบบซูมที่ที่ทำได้มากถึง 200x, ระบบกันสั่นที่นิ่งสุด ๆ จนไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมกันแล้วด้วย

อ้างอิง : https://droidsans.com/ai-will-be-the-standard-setup-for-smartphone-camera/

NVIDIA พัฒนาระบบ AI ใหม่ล่าสุดสร้างวัตถุและตัวละครอย่างรวดเร็วสำหรับโลกเสมือนจริง

บริษัทอินวิเดีย (NVIDIA) เผยโฉมโมเดล AI ที่มีชื่อว่า GET3D เพื่อสร้างตัวละคร สิ่งก่อสร้าง ยานพาหนะ และวัตถุอื่น ๆ แบบ 3D ให้มีความเหมือนจริงและง่ายขึ้น

ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นทำให้การสร้างโลกเสมือนจริงกำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าเป็นในเรื่องของจำนวนและตัวละครที่มีความหลากหลาย โดยล่าสุดบริษัทเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์ระดับโลก อินวิเดีย (NVIDIA) ได้เปิดตัวโมเดล AI ช่วยสร้างตัวละครบนโลกเสมือนให้มีความสมจริงและทำได้ง่ายขึ้น

โมเดล GET3D เป็นโมเดล AI ตัวใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาโดย ทีมวิจัยของอินวิเดีย (NVIDIA) ซึ่งสามารถสร้างตัวละคร อาคาร ยานพาหนะต่าง ๆ บนโลกเสมือนด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ ตัวโมเดลสร้างวัตถุต่าง ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยสามารถผลิตได้ 20 ชิ้นต่อวินาทีด้วยการ์ดจอ (GPU) เพียงตัวเดียว

ทีมวิจัยพัฒนาโมเดล GET3D โดยฝึกฝนระบบ AI ผ่านภาพแบบ 2 มิติ (2D) จากนั้นโมเดลจะขึ้นรูปแบบ 3D ที่มีพื้นผิวและรูปทรงเรขาคณิตแบบต่าง ๆ ด้วยความละเอียดสูง โดยผู้ใช้สามารถนำผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้งานแบบ 3D แบบที่ต้องการ เช่น การพัฒนาเกม หุ่นยนต์ การสร้างผังเมือง การออกแบบอาคาร เป็นต้น

ผู้ใช้สามารถนำโมเดล GET3D มาใช้สร้างรูปทรงแบบ 3D ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยสามารถเปลี่ยนเป็นรูปทรงที่มีความละเอียดและซับซ้อน เช่น การเรียนรู้ชุดข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ของ AI จะทำให้โมเดลสร้างคอลเลกชันรถยนต์ออกมาได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถบรรทุก รถแข่ง หรือรถตู้
ความรวดเร็วและความสมจริงในการใช้โมเดล AI สร้างรูปร่างแบบ 3D จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของนักพัฒนา (Developer) ในการสร้างโลกเสมือนจริงได้อย่างรวดเร็ว และมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะมีวัตถุที่หลากหลายให้เลือกใช้

ทีมวิจัยของอินวิเดีย (NVIDIA) เชื่อว่าการทำงานของโมเดล GET3D ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้จากวัตถุหรือสิ่งของจริง ๆ บนโลก แทนการฝึกฝนกับชุดข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าไปในระบบ และสามารถฝึกให้โมเดลสร้างวัตถุได้หลากหลายหมวดในเวลาเดียวกัน

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/126086/

งานวิจัยเผย AI อาจใช้วิธี “โกง” จนเป็นอันตรายต่อการอยู่รอดของมนุษย์

แม้ว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ โปรแกรมที่ถูกเขียนและพัฒนาให้มีความฉลาด มีความสามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้ จากการประมวลผลของฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และยังสามารถดัดแปลงการประมวลผล ประยุกต์ ให้เป็นไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างน่าประทับใจ และมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน แต่เริ่มมีการตั้งคำถามว่า ปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นอันตรายได้หรือไม่?

บทความใหม่ล่าสุดที่ร่วมเขียนโดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford) และ Google DeepMind ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนที่แล้ว ในนิตยสาร AI ที่ผ่านการตรวจสอบโดยวิธีการ peer-review ให้เหตุผลว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์อาจกลายเป็นอันตราย หรือก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ หนึ่งในนั้นก็คือกลยุทธ์การโกง ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Generative Adversarial Networks (GAN)

GAN คือเทคโนโลยี deep learning ช่วยในการเรียนรู้ของ AI โดย AI จะหา รูปแบบในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ใช้ในการพัฒนา AI ยุคปัจจุบัน ซึ่งระบบเหล่านี้ทำงานด้วยเกณฑ์ 2 รูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น รูปแบบที่ 1. คือการพยายามสร้างรูปภาพจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไป ในขณะที่รูปแบบที่ 2. จะให้คะแนนประสิทธิภาพการทำงาน นักวิจัยระบุการคาดการณ์ในรายงานว่า AI ในขั้นสูงสามารถคิดกลยุทธ์การโกงเพื่อรับรางวัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ

ไมเคิล เค โคเฮน (Michael K. Cohen) ผู้เขียนร่วมจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เผยในการให้สัมภาษณ์ว่า “”ในโลกที่มีทรัพยากรจำกัด ผมไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องมีการแข่งขันกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าเราต้องแข่งขันกับบางสิ่งที่สามารถเอาชนะเราได้ในทุก ๆ รูปแบบ เราก็ไม่ควรคาดหวังว่าจะชนะสิ่งนั้น และหากสิ่งนั้นจะมีความกระหายที่ไม่รู้จักพอ มันอาจเก็บเกี่ยวให้ได้พลังงานที่มากขึ้นเพื่อผลักดันตัวเอง””

คำพูดเหล่านี้ หมายความว่าหาก AI มีหน้าที่รับผิดชอบในการปลูกอาหารให้กับมนุษย์ AI อาจมองหาวิธีที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานนั้น ๆ แต่ก็ยังคงทำให้ตัวเองได้รับรางวัล โดยรวมแล้วคือ AI อาจหยุดการกระทำที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติและทำทุกอย่างให้กับตัวเอง

การวิจัยระบุว่า ณ จุดนั้น มนุษย์จะตกอยู่ในฐานะไม่อยู่ในสมการตัวแปรของการอยู่รอด เช่นหากมีให้เลือกระหว่างการอยู่รอดของเทคโนโลยี กับการอยู่รอดของสิ่งที่เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ AI อาจจะเลือกการอยู่รอดของเทคโนโลยีมากกว่า งานวิจัยยังระบุว่า สิ่งนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ โคเฮนจึงระบุว่าเราไม่ควรสร้าง AI ที่จะทำงานในระดับดูแลความอยู่รอดของมนุษย์ เว้นแต่ว่า จะมีวิธีการรับประกันได้ว่า มนุษยชาติจะมีอำนาจเหนือ AI

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบทความนี้จะกล่าวได้ถูกต้อง แต่มีข้อสังเกตว่า ในปัจจุบัน AI เป็นทรัพย์สินของมนุษยชาติและไม่ใช่ภาระ ตั้งแต่ลดขั้นตอนการทำงานของมนุษย์ในระบบการผลิตที่ซ้ำซากจำเจ ไปจนถึงการพยากรณ์อากาศที่แม่นยำยิ่งขึ้น และ AI กำลังนำสิ่งดี ๆ มาสู่มนุษยชาติ แต่ยังมีข้อจำกัดที่นำไปสู่ปัญหาบางอย่าง เช่น AI Bot ของ Microsoft ที่ถูกสอนให้เป็นพวกเหยียดผิว หลังจากเริ่มเรียนรู้และสัมผัสกับมนุษย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ปัญหาเหล่านี้มักถูกวิเคราะห์และแก้ไขโดยนักวิจัยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำ ซึ่งหมายความว่า หากมนุษย์ระมัดระวังและปิดช่องโหว่ของระบบ AI อย่างหนัก มนุษย์ก็ยังคงสามารถพัฒนา AI ที่ช่วยเหลือมนุษยชาติต่อไปได้

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/125242/

รู้หรือไม่ ? เสียงของ Darth Vader ในซีรีส์ Obi-wan นั้นถูกสร้างด้วย AI

ตามรายงานจาก Vanity Fair James Earl Jones ผู้เป็นเจ้าของเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Darth Vader ได้ลงนามในสิทธิ์สำหรับงานเสียงของเขา ซึ่งทำให้ Respeecher บริษัทสตาร์ทอัพ AI ด้านเสียงจากยูเครนได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และสร้างเสียงของเขาในซีรีส์อง Disney Plus อย่าง Obi-Wan Kenobi

ในการทำเช่นนี้ Respeecher ใช้คลิปเสียงของ Jones เพื่อ “”ลอกเลียน”” เสียงของนักแสดงโดยใช้เทคโนโลยีของบริษัท ทำให้สตูดิโอสามารถบันทึกบทใหม่โดยไม่ต้องให้นักแสดงอยู่ด้วย ซึ่ง Matthew Wood บรรณาธิการดูแลเสียงของบอกกับ Vanity Fair ว่าเขาเสนอทางเลือกให้กับโจนส์ ซึ่งโจนส์อนุญาตให้ Lucasfilms ใช้เสียงที่สร้างขึ้นโดย AI ได้ และสตูดิโอก็ได้มอบหมายให้ Respeecher ทำให้ Vader นั้นดูเหมือน “”วายร้ายด้านมืดเมื่อ 45 ปีที่แล้ว”” สำหรับในซีรีส์ Obi-Wan Kenobi

นี่คือเหตุผลที่หลายคนอาจสังเกตเห็นว่าเสียงของ Vader ใน Obi-Wan ฟังดูคล้ายกับเสียงของ Jones ในภาพยนตร์ภาคเก่าๆมากกว่า เมื่อเทียบกับเสียงของ Jones จริงๆ ใน The Rise of Skywalker ในปี 2019

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Respeecher ทำงานร่วมกับ Lucasfilms โดยก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทำการสร้างเสียงสำหรับ Luke Skywalker ใน ซีรีส์ The Mandalorian และ The Book of Boba Fett มาแล้ว โดยทาง Respeecher ได้อธิบายว่าพวกเขาใช้คลิปจากรายการวิทยุ การสัมภาษณ์ บทสัมภาษณ์ และพากย์เสียงในช่วงปีแรกๆ ของ Mark Hamill (นักแสดงผู้รับผม Luke Skywalker) เพื่อสร้างเสียงของ Luke Skywalker ให้สมจริง

นอกจากนี้เครื่องมือสังเคราะห์เสียงพูดโดย AI อื่นๆ เช่น Voicemod, Veritone, Descript และ Resemble AI ได้กลายเป็นวิธีสำหรับคนดังและครีเอเตอร์ในการสร้างเสียงของพวกเขาขึ้นมาใหม่แบบดิจิทัล ซึ่งเทรนด์นี้อาจกลายเป็นที่นิยมในหมู่นักแสดงที่ต้องการ เพิ่มรายได้ของพวกเขาโดยการโคลนเสียงของตัวเองและให้เช่าเสียงเหล่านั้นไปใช้งาน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/9/24/23370097/darth-vader-james-earl-jones-obi-wan-kenobi-star-wars-ai-disney-lucasfilm

ใช้เทคโนโลยี AI ทำนาย รับมือโควิด-19 กลายพันธุ์ ในอนาคต

ทีมนักวิจัยนานาชาติพัฒนาวิธีการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสำรวจความเป็นไปได้ที่โรคโควิด-19 จะวิวัฒน์ตัวเอง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ในอนาคต โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

วิลเลียม เคลตัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไวกาโตของนิวซีแลนด์ ทำงานร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีสวิส ซูริก (ETH Zurich) และมหาวิทยาลัยเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ นำโปรตีนจากพื้นผิวเชื้อไวรัสฯ ที่ตายแล้วเข้าห้องปฏิบัติการและสร้างการกลายพันธุ์เทียมของโปรตีนจำนวนมาก ก่อนจะคัดกรองการกลายพันธุ์เหล่านั้นเพื่อค้นหาว่าการกลายพันธุ์ใดที่จับกับเซลล์ได้

บทความจากวารสารเซลล์ (Cell) เมื่อ 20 ก.ย. 2022 ระบุว่าทีมวิจัยได้เพิ่มแอนติบอดีเข้าสู่กระบวนการข้างต้นในเวลาต่อมา เพื่อเลียนแบบแรงกดดัน (selection pressure) ที่เชื้อไวรัสฯ อาจเผชิญในร่างกายมนุษย์ โดยข้อมูลที่ได้ถูกป้อนเข้าการเรียนรู้ของเครื่องจักร เพื่อทำนายว่าเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ใหม่จะจับกับเซลล์และหลีกหนีแอนติบอดีได้ดีเพียงใด

วิลเลียม เคลตัน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไวกาโตของนิวซีแลนด์ กล่าวว่าแบบจำลองข้างต้นมีความแม่นยำมากในการคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ใหม่อาจวิวัฒน์ตัวเอง และอาจมอบแนวทางการต่อสู้กับเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ในอนาคต ทั้งนี้ยังระบุว่าถ้าเราสามารถก้าวนำหน้าเชื้อไวรัสฯ เราจะสามารถสร้างยาและแอนติบอดีก่อนที่เชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น และออกแบบวิธีแก้ปัญหาเพื่อต่อสู้กับพวกมัน นอกจากนั้นเรายังสามารถทดสอบเพื่อดูว่ายาที่มีอยู่ต้านกลุ่มเชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์อย่างไร

สำหรับ ประเทศไทย มีเทคโนโลยี คล้ายๆกันในลักษณะนี้ อาทิ Chulalongkorn University Technology Center หน่วยงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยี Deep Tech ด้าน AI และ MedTech จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้ AI ทำนายระดับความรุนแรงโรคได้แม่นยำ ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตผู้ป่วยได้ ลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยโมเดล Pylon และแพลตฟอร์ม We Safe โดยนักวิจัยจุฬาฯ และพันธมิตรด้านวิชาการทั้งในและต่างประเทศ

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/830131

Whale Safe ลดการเสียชีวิตของวาฬด้วย AI

การชนกับเรือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของวาฬที่ใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งพวกมันผสมพันธุ์ กิน และเดินทางในน่านน้ำเดียวกันกับที่เรือบรรทุกสินค้าบ่อยครั้ง นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าในแต่ละปีวาฬใกล้สูญพันธุ์มากกว่า 80 ตัวถูกฆ่าโดยเรือโจมตีนอกชายฝั่งตะวันตก

โครงการ Whale Safe ซึ่งเริ่มในปี 2020 และได้รับทุนจากมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีและ Marc Benioff ผู้ก่อตั้ง Salesforce หวังว่าจะเอาชนะความท้าทายในการลดปัญหาการชนกันระหว่างวาฬและเรือนั้นโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยโปรแกรมของ Whale Safe สามารถให้ข้อมูลใกล้เคียงกับแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจำนวนวาฬที่มีอยู่ในพื้นที่ และส่งการแจ้งเตือนไปยังบริษัทเดินเรือให้ชะลอเรือเมื่ออยู่ในระยะของวาฬ

ซึ่งระบบ Whale Safe ทำงานโดยใช้ทุ่นที่ติดตั้งไมโครโฟนเพื่อฟังเสียงของวาฬ รวมกับอัลกอริทึมวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสภาพมหาสมุทรและข้อมูลจากวาฬสีน้ำเงินที่ติดแท็กดาวเทียมจำนวน 104 ตัว จากนั้นจึงจัดเลเยอร์ของปัญญาประดิษฐ์และแบบจำลองต่างๆ เพื่อบอก “”ระดับการปรากฏตัวของวาฬ”” ตั้งแต่ต่ำไปสูง นอกจากนี้ยังจะสร้างรายงานสำหรับบริษัทเดินเรือ โดยพิจารณาจากการลดความเร็วโดยสมัครใจในพื้นที่ในระยะใกล้เคียงกับวาฬ

John Calambokidis นักชีววิทยาด้านการวิจัยอาวุโสกล่าวว่า ในขณะนี้ระบบสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของวาฬได้ แต่ยังไม่สามารถรับรู้ข้อมูลที่ละเอียดมากกว่านั้นได้ เช่น วาฬเหล่านั้นอยู่ไกลแค่ไหนหรือมีพวกมันอยู่กี่ตัว เนื่องจากเสียงของวาฬสีน้ำเงินเดินทางได้หลายสิบไมล์ และวาฬตัวผู้มักจะส่งเสียงมากขึ้นในขณะที่มันกำลังเดินทาง รวมถึงวาฬบางตัวอาจจะไม่ส่งเสียงดังเลย

แต่อย่างไรก็ตาม John คิดว่าระบบนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วนเท่านั้น จนกว่าจะมีการใช้มาตรการอื่นๆ เช่น การจำกัดความเร็วที่บังคับสำหรับเรือ หรือการเคลื่อนย้ายช่องทางเดินเรือออกจากเส้นทางของวาฬ

อ้างอิง : https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-22/how-ai-is-being-used-to-save-the-whales#xj4y7vzkg

ใช้ AI ช่วยเขียนรายงาน พร้อมหารายได้จากการ “รับจ้างทำการบ้าน”

เมื่อ AI ถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ในการทำการบ้าน จนเกิดเป็นประเด็นถกเถียงในขณะนี้

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตั้งแต่บทบาทด้านการแพทย์, วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงการสนทนาโต้ตอบกับมนุษย์ ซึ่งหากนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในทางที่เหมาะสมก็คงจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ไม่ใช่กับกรณีล่าสุด เมื่อสมาชิกบนเว็บไซต์ Reddit ในห้อง Open AI ได้โพสต์เรื่องราวการใช้ AI ช่วยทำการบ้านและใช้หารายได้จาก “”รับทำการบ้าน”” อีกด้วย จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงถึงความเหมาะสมในการนำเทคโนโลยีสุดล้ำมาใช้งานในลักษณะนี้

สมาชิก Reddit ดังกล่าวใช้ชื่อว่า Urdadgirl69 เขาบอกว่าในช่วงแรกมีความรู้สึกผิดแทรกเข้าในใจขณะที่ใช้ AI ช่วยทำการบ้าน แต่หลังจากนั้นเมื่อเขาเริ่มนำ AI มาใช้ในการรับจ้างทำการบ้านจากเพื่อน ๆ คนอื่น เขาสามารถทำเงินได้มากถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,800 บาท) ภายใน 2 สัปดาห์
หลังจากนั้นได้มีสมาชิก Reddit คนอื่น ๆ เข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก โดยมีสมาชิกนามว่า ahumanlikeyou ได้แสดงความเห็นผ่านมุมมองของคนที่เป็นครู-อาจารย์ เขาบอกว่าหากนักเรียนส่งรายงานที่เขียนขึ้นด้วย AI เขาจะขอ “”ลาออก”” เพราะการให้คะแนนกับงานเขียนของ AI ช่างเป็นสิ่งที่เสียเวลาชีวิต แล้วนักเรียนจะได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ทำลงไปบ้าง?

ทางด้าน Urdadgirl69 ได้ออกมาแสดงความเห็นเชิงตอบโต้ว่า แม้เขาจะใช้ AI ช่วยเขียนรายงานให้จริง แต่เขาก็ยังต้องนำเนื้อหามาปรับปรุงให้ดูเป็นธรรมชาติเหมือนงานเขียนของมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะนำงานเขียนดังกล่าวมาใช้ได้ทันที

Generative Pre-trained Transformer 3 (GPT-3) คือ หนึ่งใน AI สร้างงานเขียนภายใต้โครงการพัฒนา Open AI โดยผู้ใช้อาจเริ่มต้นด้วยการสร้างประโยคเปิดสั้น ๆ ในพารากราฟ เพื่อกำหนดทิศทางของเนื้อหา จากนั้น AI จะสร้างเนื้อหาส่วนที่เหลือในพารากราฟดังกล่าว ซึ่งทาง Urdadgirl69 ก็ได้เลือกใช้ GPT-3 ในการทำรายงานของเขาด้วย

การพัฒนา AI เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งประโยชน์และโทษขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ ซึ่งกรณีของสมาชิก Reddit รายนี้ จะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่มีจิตรกรใช้ AI สร้างสรรค์รูปภาพคอมพิวเตอร์กราฟิก จนช่วยให้เขาชนะรางวัลการประกวดงานศิลป์ดิจิทัลเลยทีเดียว

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/126434/

สหภาพยุโรปประกาศร่าง AI Liability Directive เปิดทางฟ้อง “โดรน-เทคโนโลยี AI” กรณีผิดพลาด-สร้างความเสียหาย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ว่า AI Liability Directive ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรป ประกาศร่างกฎที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้เทคโนโลยี AI และการปะติดปะต่อกันของกฎเกณฑ์ระดับชาติทั่วทั้ง 27 ประเทศในสหภาพยุโรป

โดยผู้เสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าชดเชยสำหรับความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพ และความเป็นส่วนตัว เนื่องจากความผิดพลาดหรือการละเลยของผู้ให้บริการ ผู้พัฒนา หรือผู้ใช้เทคโนโลยี AI หรือถูกเลือกปฏิบัติในกระบวนการสรรหาบุคลากรโดยใช้ AI

ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะต้องแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตหรือผู้ใช้ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดบางอย่างทำให้เกิดอันตรายแล้วเชื่อมโยงสิ่งนี้กับเทคโนโลยี AI
ภายใต้ “”สิทธิ์ในการเข้าถึงหลักฐาน”” เหยื่อสามารถขอให้ศาลสั่งให้บริษัทและซัพพลายเออร์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบ AI ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ต้องรับผิดและค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น

ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่เสนอนี้จะทำให้ผู้ใช้สามารถฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยเมื่อการอัปเดตซอฟต์แวร์ทำให้ผลิตภัณฑ์อัจฉริยะของตนไม่ปลอดภัย หรือเมื่อผู้ผลิตไม่สามารถแก้ไขช่องว่างด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ นอกจากนี้ผู้ใช้ที่มีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของสหภาพยุโรปที่ไม่ปลอดภัยจะสามารถฟ้องตัวแทนในสหภาพยุโรปของผู้ผลิตเพื่อขอรับค่าชดเชยได้
อย่างไรก็ตาม AI Liability Directive จะต้องได้รับไฟเขียวจากประเทศในสหภาพยุโรปและผู้ร่างกฎหมายของสหภาพยุโรปก่อนที่จะกลายเป็นกฎหมาย

อ้างอิง : https://www.moneyandbanking.co.th/article/news/eu-ai-liability-directive-28092022

Text-to-Pokémon สร้างโปเกม่อนจากข้อความที่ใส่ไป

Text-to-Pokémon โปรแกรมที่ให้เราใส่ชื่อหรือคำอธิบายใดก็ได้ที่ชอบเพื่อสร้างตัวโปเกมอนให้ตรงกับข้อความเหล่านั้น

โดยผลลัพธ์ของโมเดลที่ใช้ในโปรแกรมนี้ถึงจะสมบูรณ์แบบมาก แต่ก็มันก็ให้ความบันเทิงแก่ผู้ใช้งานไม่น้อยเหมือนกัน โดยเราสามารถลองใส่ชื่อคนดังหรือนักการเมือง เช่น “”บอริส จอห์นสัน”” และ “”วลาดิเมียร์ ปูติน”” หรือเพียงแค่คำอธิบายทั่วไปของโปเกมอนที่เราอยากจะให้โปรแกรมสร้างมันขึ้นมา

โปรแกรมนี้เป็นผลงานของ Justin Pinkney นักวิจัยด้าน machine learning ซึ่งเขาเคยสร้างเครื่องมือและผลงานด้านภาพด้วย AI จำนวนมาก รวมไปถึงโมเดลนี้ที่ได้รับการดัดแปลงมาจากเครื่องมือสร้างงานศิลปะ AI ที่ซับซ้อนกว่าและทรงพลังกว่ามาก ซึ่งมีชื่อว่า Stable Diffusion โดยในขณะที่โปรแกรมคู่แข่งอย่าง DALL-E และ Midjourney ถูกสงวนไว้สำหรับนักพัฒนาในบริษัทของพวกมัน แต่ Stable Diffusion เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สทำให้ผู้อื่นสามารถเล่นและร่วมพัฒนาได้ และนั่นคือสิ่งที่ Pinkney ทำ โดยเขาได้ปรับแต่งระบบของ Stable Diffusion โดยใช้ฐานข้อมูลของโปเกมอนเพื่อสร้างโปรแกรมของเขาขึ้นมา

โดยผลตอบรับบน Twitter แสดงให้เห็นว่าผู้คนใช้ Text-to-Pokémon เพื่อสร้างภาพขึ้นมาหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนอย่าง Goku, Sonic the Hedgehog หรือแม้แต่ Jesus H. Christ

อย่างไรก็ตามซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สลักษณะนี้ก็มีข้อเสียที่ต้องระวังเช่นกัน เช่น ทุกคนก็สามารถใช้ Stable Diffusion เพื่อสร้างภาพที่รุนแรงและเกี่ยวกับเรื่องเพศ ข้อมูลที่ผิด หรือภาพลามกอนาจารที่ไม่ได้รับความยินยอมได้

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/9/26/23372457/pokemon-ai-generator-stable-diffusion-model

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 23 – 29 กันยายน 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก