ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 2 เดือนตุลาคม 2022

งานศิลปะที่สร้างโดย AI กำลังจะมาอยู่ใน PowerPoint ให้ทุกคนได้ใช้แล้ว!

Microsoft กำลังเพิ่มงานศิลปะที่สร้างโดย AI ลงในชุดซอฟต์แวร์ Office ด้วยแอปใหม่ที่ชื่อว่า Microsoft Designer ที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้

ซึ่งแอปจะทำงานในลักษณะเดียวกับโมเดลแปลงข้อความเป็นรูปภาพ AI เช่น DALL-E และ Stable Diffusion โดยให้ผู้ใช้พิมพ์ข้อความให้โปรแกรมสร้างการออกแบบที่หลากหลายได้ทันที ซึ่ง Microsoft กล่าวว่า Designer สามารถใช้เพื่อสร้างทุกอย่างตั้งแต่การ์ดอวยพร โพสต์โซเชียลมีเดียไปจนถึงภาพประกอบสำหรับงานนำเสนอ PowerPoint และโลโก้สำหรับธุรกิจ

ปัจจุบันแอปยังไม่พร้อมสำหรับการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ แต่เมื่อพร้อมแล้ว Designer จะพร้อมใช้งานเป็นทั้งแอปแบบสแตนด์อโลนฟรีและเวอร์ชันที่เต็มไปด้วยฟีเจอร์เพิ่มเติมซึ่งจะพร้อมใช้งานสำหรับสมาชิก Microsoft 365 ที่ชำระเงิน

นอกเหนือจากการเปิดตัว Designer แล้ว Microsoft ยังเพิ่มโมเดลข้อความเป็นรูปภาพ AI ให้กับเครื่องมือค้นหา Bing โดย Microsoft กล่าวว่า Image Creator จาก Microsoft Bing ใหม่จะช่วยให้ผู้ใช้ “นำความคิดของพวกเขาไปสู่ชีวิตจริง”

อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าภาพที่สร้างโดย AI จะเหมาะกับทุกกรณีการใช้งานหรือไม่ ในมุมมองที่กว้างขึ้น การเปิดตัวเครื่องสร้างภาพ AI ในผลิตภัณฑ์หลักนั้นสามารถทำให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอคติ ลิขสิทธิ์ และแอปพลิเคชันที่อาจเป็นอันตรายสำหรับคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์และจริยธรรม เครื่องกำเนิดศิลปะด้วย AI เช่น DALL-E ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับภาพที่คัดลอกมาจากเว็บ รวมถึงผลงานของนักออกแบบ ศิลปิน และช่างภาพ ซึ่งบุคคลเหล่านี้หลายคนรู้สึกว่าองค์กรเช่น Microsoft และ OpenAI กำลังลอกงานของพวกเขาโดยไม่มีค่าตอบแทนที่ยุติธรรม

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/10/12/23400270/ai-generated-art-dall-e-microsoft-designer-app-office-365-suite

จับตามอง ‘ฉี เสี่ยวโม่’ AI เสมือนมนุษย์สัญชาติจีน ปรากฏตัวแล้วที่อู่ฮั่น

เมื่อช่วงหยุดวันชาติจีนที่เพิ่งผ่านพ้นไป “ฉี เสี่ยวโม่” (Qi Xiaomo) มนุษย์เสมือนจริงแบบสามมิติตัวแรกที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา ได้ปรากฏตัวที่เขตฮันยางของเมืองอู่ฮั่น โดยฉี เสี่ยวโม่ เป็นผลงานของบริษัทอู่ฮั่น วินโดวส์ เซนจูรี มีเดีย เทคโนโลยี (Wuhan Windows Century Media Technology) และยูนิลูมิน (Unilumin)

ยูนิลูมินนำระบบของไหลอนุภาคและเทคโนโลยีการจับแบบไดนามิกที่พัฒนาขึ้นเองอย่างยูแอคชัน (UAction) มาใช้ตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การสร้างคาแรคเตอร์ สร้างภาพ ออกแบบสตอรี่บอร์ด ไปจนถึงการสร้างกลไกสามมิติและการเรนเดอร์ จนทำให้ “ฉี เสี่ยวโม่” มีรูปลักษณ์น่าทึ่ง
โดยชื่อฉี เสี่ยวโม่ นั้นตั้งชื่อขึ้นมาให้สะท้อนความหมายแฝงทางวัฒนธรรมของคำว่า “ฉียู่” (Qiyu) เป็นตัวละครมนุษย์เสมือนจริงโลกเมตาเวิร์สแบบสามมิติตัวแรกในจีนที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้

ฉี เสี่ยวโม่ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนการตลาดประจำแบรนด์และทูตเผยแพร่วัฒนธรรมประจำท้องถิ่น ซึ่งเผยให้เห็นศักยภาพมหาศาลในการนำไปส่งเสริมการค้าขายโดยรอบ
“นัยน์ตาสามนคร” (The Eyes of the Three Towns) ซึ่งเป็นการแสดงผลงานสามมิติที่มองเห็นด้วยตาเปล่าขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคจีนกลาง ได้กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในย่านธุรกิจนี้ โดยกลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในไมโครบล็อกและแพลตฟอร์มอื่น ๆ ขณะที่บล็อกเกอร์จำนวนมากต่างพากันอัปโหลดวิดีโอเกี่ยวกับการแสดงดังกล่าว ซึ่งมีผู้รับชมรวมกันกว่าหลายสิบล้านครั้ง

ประธานบริษัทอู่ฮั่น ฮันยาง อินเวสต์เมนต์ แอนด์ ดีเวลลอปเมนต์ กรุ๊ป (Wuhan Hanyang Investment and Development Group) กล่าวว่า เราต้องการสร้างแหล่งสังสรรค์ที่ทั้งล้ำสไตล์และหรูหราในเขตฮันยาง การแสดงผลงานสามมิติแบบมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งใช้จอแอลอีดีเชิงพาณิชย์รุ่น UfixII ของยูนิลูมิน จะทำให้ย่านธุรกิจดั้งเดิมแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยี

ทุกวันนี้ เมตาเวิร์สได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้การสร้างภาพและโปรโมทมนุษย์เสมือนจริงทางดิจิทัลเป็นเทรนด์มาแรงในอุตสาหกรรม โดยคาดว่าอุตสาหกรรมเมตาเวิร์สดิจิทัลจะมีมูลค่าตลาดทะลุหลัก 2.7 แสนล้านหยวน (ราว 1.43 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2573

ยูนิลูมินขอเปิดตัวแมวและสาวน้อยสุดน่ารักอย่าง “ฉี เสี่ยวโม่” โดยจะเดินหน้าขยับขยาย “ครอบครัวเมตาเวิร์สมนุษย์เสมือนจริงดิจิทัล” ต่อไป ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีมนุษย์เสมือนจริงดิจิทัล และในอนาคตข้างหน้า ยูนิลูมินจะนำเสนอวิชวลเอฟเฟกต์สุดตื่นตาตื่นใจอีกมากมาย พร้อมมอบวิถีชีวิตที่สดใหม่และชาญฉลาดให้ทุกคน

ยูนิลูมิน กรุ๊ป (Unilumin Group Co., Ltd) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 โดยจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นเซินเจิ้นเมื่อปี 2554 ยูนิลูมินมีศูนย์วิจัยและพัฒนาในจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐ ทั้งยังขยายเครือข่ายรองรับการขายและบริการไปยังกว่า 160 ประเทศทั่วโลก

ขณะนี้ ทั่วทั้งโลกคงต้องจับตามองมนุษย์เสมือนจริงสัญชาติจีน คาดว่าจะเผยให้ชมอย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้านี้

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/tech/innovation/1031627

ตามมาติดๆ! เปิดตัว “Google Imagen Video” AI สร้างวิดีโอด้วยข้อความ

เพียงไม่กี่วันหลังจาก Meta ประกาศเปิดตัวโปรแกรมสร้างข้อความเป็นวิดีโอ ทาง Google ก็ได้ประกาศว่าเปิดตัวโปรแกรมสร้างข้อความเป็นวิดีโอที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของพวกเขาที่มีชื่อว่า “Google Imagen Video”

ตัวโปรแกรมนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่เมื่อถึงเวลาที่เผยแพร่สู่สาธารณะให้ใช้งาน มันจะสามารถผลิตวิดีโอ 1280 × 768 ที่ 24 เฟรมต่อวินาทีจากข้อความที่เราใส่เข้าไป

Google กล่าวว่า Imagen Video ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับคู่ข้อความวิดีโอ 14 ล้านคู่และคู่ข้อความรูปภาพ 60 ล้านคู่รวมถึงชุดข้อมูลข้อความรูปภาพ LAION ซึ่งใช้ในการฝึกอบรม Stable Diffusion

รายงานการวิจัยอ้างว่า Imagen Video สามารถแสดงข้อความได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ DALL-E และ Stable Diffusion ทั้งคู่ต้องเผชิญโดยข้อความที่โปรแกรมเหล่านั้นสร้างขึ้นนั้นแทบจะไม่สามารถอ่านได้ นอกจากนี้พวกเขายังอ้างว่า Imagen Video ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในความลึกและสามมิติ ทำให้สามารถสร้างวิดีโอที่เหมือนถูกถ่ายจากการโดรนที่บินผ่านหมุนไปรอบๆ และจับภาพวัตถุจากมุมต่างๆ ได้โดยไม่มีการบิดเบือน

Google ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่มีปัญหาที่ใช้ในการฝึกอบรมโปรแกรมสร้างภาพด้วย AI โดยบริษัทได้พยายามกรองเนื้อหาที่แสดงออกทางเพศอย่างโจ่งแจ้งหรือรุนแรง ตลอดจนการแบ่งแยกทางสังคมและอคติทางวัฒนธรรม ซึ่งมีความกังวลว่าเครื่องมือนี้อาจใช้เพื่อสร้าง ปลอมแปลง แสดงความเกลียดชัง แบ่งแยก หรือเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นอันตรายซึ่งพวกเขาได้บอกอีกว่า “เราได้ตัดสินใจที่จะไม่เผยแพร่โมเดล Imagen Video หรือซอร์สโค้ดจนกว่าข้อกังวลเหล่านี้จะได้รับการบรรเทา”

อ้างอิง : https://www.firstpost.com/tech/news-analysis/google-unveils-its-ai-based-text-to-video-generator-called-imagen-videos-11421081.html

เอ. เอส. วัตสัน คิดค้นเทคโนโลยี AI วิเคราะห์ผิว จาก ModiFace ของลอรีอัลในเอเชีย

เอ. เอส. วัตสัน ในฐานะผู้นำค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศเปิดตัว “Skinfie Lab” นวัตกรรมใหม่ในการวิเคราะห์ผิวเฉพาะบุคคล และสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะกับผิวของบุคคลนั้นๆ โดยอิงจากภาพเซลฟี่ของลูกค้า ในปัจจุบัน Skinfie Lab ได้เปิดตัวครั้งแรกไปแล้วที่ วัตสัน ฮ่องกง และจะเปิดตัวในไทย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียภายในต้นปี 2566 นี้

การเปิดตัว Skinfie Lab ในเอเชียถือเป็นก้าวสำคัญล่าสุดของ เอ. เอส. วัตสัน ที่จะมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ O+O (ออฟไลน์และออนไลน์) อย่างแท้จริงให้กับลูกค้า ซึ่งเกิดขึ้นสืบเนื่องจากความสำเร็จจากการเปิดตัวนวัตกรรม AI ให้คำปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของร้าน Superdrug ในสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในการใช้นวัตกรรมดังกล่าว และทำให้มีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

คุณฟรีด้า อึง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายดิจิทัล (เอเชีย) ของ เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป กล่าว “เราเชื่อว่า Skinfie Lab จะเปลี่ยนวิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของลูกค้า โดยใช้เพียงแค่การเซลฟี่เท่านั้น”
“เราใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการคิดค้นและพัฒนาโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อช่วยมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบ O+O ที่ไร้รอยต่อให้กับลูกค้า และรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เปิดตัว Skinfie Lab ในเอเชีย ซึ่งเป็นการริเริ่มที่สำคัญในการช่วยให้ลูกค้าได้ค้นพบสิ่งที่ผิวของเขาต้องการอย่างง่ายดาย”

Skinfie Lab เป็นการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการวิเคราะห์ผิวของลูกค้าและสร้างสูตรดูแลผิวพรรณเฉพาะสำหรับบุคคล โดยเป็นการพัฒนาร่วมกันโดย เอ. เอส. วัตสัน กรุ๊ป และ ModiFace ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI และ AR ของลอรีอัล นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือในการพัฒนาจากแพทย์ผิวหนังโดยใช้ข้อมูลการวิจัยมากถึง 15 ปี ในแง่ของการทำงาน Skinfie Lab ยังใช้ AI ในการตรวจสอบภาพเซลฟี่กว่า 16,000 ภาพ เพื่อตรวจจับลักษณะใบหน้าที่หลากหลายจากภาพเซลฟี่ของลูกค้า รวมถึงสิว ริ้วรอย ผิวคล้ำ รูขุมขนกว้าง ริ้วรอย ความกระจ่างใส รวมถึงความกระชับของผิว และสภาพผิวโดยรวม

ลูกค้าเพียงแค่ถ่ายรูปเซลฟี่และตอบคำถามง่ายๆ สองสามข้อเกี่ยวกับตัวของพวกเขาเองผ่านโทรศัพท์มือถือ จากนั้น Skinfie Lab จะเริ่มทำการวิเคราะห์ผิวในเชิงลึกเฉพาะสำหรับพวกเขา รวมถึงคัดสรรและแนะนำผลิตภัณฑ์จากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่มีอยู่ในร้านค้าออนไลน์ของวัตสัน (วัตสันออนไลน์) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่คลีนเซอร์ มาสก์หน้า โทนเนอร์ เซรั่ม ครีมบำรุงรอบดวงตา มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดด
คุณอึง ยังกล่าวต่อว่า “ลูกค้าจำนวนมากต้องการรู้ว่าผิวของตนเองต้องการอะไร และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกขั้นตอนในการดูแลผิวของพวกเขา แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำ ก็เพียงแค่ถ่ายเซลฟี่เท่านั้น โดย Skinfie Lab ยังเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่เริ่มหันมาดูแลตัวเองและกำลังมองหาคำแนะนำในการวิธีดูแลผิวพรรณของตนเอง ตลอดจนผู้ที่สนใจเรื่องความงามที่กำลังมองหาคำแนะนำเฉพาะบุคคล รวมไปถึงแนะนำสินค้าที่อยู่ในเทรนด์ด้วย”

เทคโนโลยี AR ใน ColourMe มีผู้ทดลองใช้แล้ว 40 ล้านครั้ง
ColourMe ฟังก์ชันทดลองแต่งหน้าเสมือนจริงในแอปวัตสัน พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง เอ. เอส. วัตสัน และ Modiface ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2562 ในปัจจุบันมีผู้ทดลองใช้แล้วมากถึง 40 ล้านครั้งในฮ่องกง มาเลเซีย ไทย ไต้หวัน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์

ColourMe ยังใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพเสมือนของตัวเองทันที ว่าพวกเขาจะมีภาพลักษณ์ออกมาอย่างไรในแต่ละลุคที่เปลี่ยนไป รวมถึงช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามลุคนั้นๆ อีกด้วย โดยปัจจุบันจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในกลุ่มผู้ใช้ ColourMe
คุณอึง ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ในปัจจุบัน ทั้ง Skinfie Lab และ ColourMe ช่วยให้ลูกค้าค้นพบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่เหมาะกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และ AR จึงทำให้เราสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่แบบ O+O ไร้รอยต่อที่ช่วยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมมากขึ้น ตลอดจนได้รับบริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่สนใจในเรื่องความงาม และช่วยให้พวกเขามีความสุขกับการช้อปปิ้งอย่างแท้จริง”

อ้างอิง : https://www.ryt9.com/s/prg/3363715

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อเนื้อหาออนไลน์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ อาจถูกสร้างจาก AI ภายในปี 2026

ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานตำรวจสากลแห่งสหภาพยุโรป (Europol) เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยคาดการณ์ว่าเนื้อหาออนไลน์กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ อาจถูกสร้างจาก AI ภายในปี 2026 ทำให้เกิดการปลอมแปลงข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วนรวมไปถึงการพิจารณากฎหมาย

ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นความท้าทายใหม่บนโลกออนไลน์ เนื้อหาปลอม การปลอมแปลงใบหน้า Deepfake จะมีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นจนอาจทำให้การรับข้อมูลจากโลกออนไลน์ต้องใช้วิจารณญาณและการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถสร้างข้อความที่มีลักษณะคล้ายการพิมพ์ของมนุษย์ เช่น Frase.io ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกออกแบบให้ช่วยเขียนบทความ การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ บนโลกออนไลน์และช่วยให้การทำ SEO ง่ายมากขึ้น

เทคโนโลยีการสร้างภาพวาดจากปัญญาประดิษฐ์ เช่น Dall-E สามารถสร้างรูปภาพทำงานร่วมกับ 3D Rendering Engine เพื่อสร้างภาพ 3D ขึ้นมาจากข้อความ นอกจากนี้ยังมี Midjourney ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัลและได้รับความนิยมในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากขีดความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างผลงานศิลปะออกมาได้อย่างสวยงามและเปิดให้ใช้งานฟรี

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของขีดความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกเปิดเผยออกมาในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2026 อาจมีการพัฒนาเพิ่มเติมจนมีขีดความสามารถที่น่าทึ่งมากกว่านี้หลายเท่า ผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นในวงการผู้สร้างเนื้อหาออนไลน์ เช่น นักวาดภาพต้องวาดภาพแข่งกับปัญญาประดิษฐ์ นักเขียนต้องสร้างเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์การเขียนของตัวเองไม่ซ้ำใคร เป็นต้น

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/127361/

เมื่อการแนะนำคอนเทนต์กำลังถูกขับเคลื่อนด้วย AI ทาง Meta ได้เผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาบน Facebook ให้ได้สูงสุด

ตอนนี้ Meta ได้เผยแพร่ภาพรวมของวิธีการที่ครีเอเตอร์จะใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงให้มากที่สุด และเชื่อมต่อกับแฟนๆ ได้มากขึ้นผ่านหน้าฟีดของพวกเขา

แม้คำแนะนำดังกล่าวจะเน้นไปที่ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มทั้งหลาย แต่มันก็ใช้ได้กับทุกคน ซึ่งนี่สัมพันธ์กับวิธีการทำงานของหน้าฟีดบนแพลตฟอร์ม และหากคุณต้องการเพิ่ม Reach ไปยังกลุ่มเป้าหมายบน Facebook มากขึ้น วิธีเหล่านี้จะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน แต่มันอาจไม่เป็นผลดีต่อสังคม และมี 2 เหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

  • อย่างแรกเลยคือ Meta เคยกล่าวในอดีตว่า อัลกอริทึมของหน้าฟีดบน Facebook อาศัยองค์ประกอบเหล่านี้ในการจำแนกว่าใครจะเห็นโพสต์
    คอนเทนต์อะไรที่ถูกโพสต์ มีโพสต์ไหนบ้างจากเพื่อน ครีเอเตอร์ หรือเพจอื่นๆ ที่เราสามารถแสดงได้
  • ใครบ้างจะชอบเนื้อหานี้ โดยจะพิจารณาสัญญาณต่างๆ มากมาย เช่น ใครเป็นคนโพสต์คอนเทนต์ และเมื่อมีการโพสต์ หัวข้อคืออะไร และพฤติกรรมของผู้ใช้เก่าๆ เป็นอย่างไร เป็นต้น
  • ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับโพสต์มากน้อยเพียงใด โดยพยายามคาดการณ์ว่าบุคคลนั้นจะมีส่วนร่วมกับโพสต์มากน้อยเพียงใด
  • คนดูจะสนใจโพสต์นี้ขนาดไหน จากข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมจากโพสต์และเนื้อหา ส่วนใดควรได้รับความสำคัญ

ทั้งหมดนี้ทำให้เอนเกจเมนต์กลายเป็นจุดโฟกัสหลัก โดยแสดงคอนเทนต์ให้ผู้คนเห็นและทำให้พวกเขาคลิกเข้าไป แสดงความคิดเห็น แชร์ และกดไลก์ ฯลฯ
แต่องค์ประกอบเหล่านั้นอาจเป็นปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับว่าอัลกอริทึมให้น้ำหนักสิ่งต่างๆ อย่างไร ทั้งนี้ นี่คือองค์ประกอบที่อัลกอริทึมใช้ในการชั่งน้ำหนักคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งหมายความว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณควรพิจารณาหากคุณต้องการค่า Reach และตอบสนองให้มากที่สุดต่อบนโพสต์ Facebook ของคุณ
และส่วนนี้คือสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากหากนำเอนเกจเมนต์ปี 2022 มาพิจารณา โดยในคำอธิบาย Meta กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทมองเอนเกจเมนต์ได้ 2 ทาง

  •  Connected Distribution: โพสต์ของคุณถูกเห็นโดยคนที่ติดตามคุณบน Facebook นี่คือ Audience หลักของคุณ
  • Unconnected Distribution: คนไม่ติดตามคุณเห็นโพสต์ของคุณ แต่อาจสนใจเนื้อหาของคุณ การกระจายประเภทนี้อาจมาจากผู้ใช้รายอื่นที่แชร์โพสต์ของคุณต่อๆ ไป หรือจากคำแนะนำของเราในส่วน Suggested for You

ทั้งนี้ เอนเกจเมนต์ทั้งสองประเภทนี้อยู่กับ Facebook มาหลายปีแล้ว แต่มันถูกเน้นให้เห็นชัดเจนมากขึ้น เนื่องจาก Meta พยายามที่จะแนะนำเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ลงบนฟีดของคุณ
โดยย้อนกลับไปเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ระบุว่า แผนของบริษัทตอนนี้คือการเพิ่มปริมาณคอนเทนต์ที่แนะนำโดย AI บนหน้าฟีดของผู้ใช้เป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีนี้

“ตอนนี้ AI ของเราแนะนำเนื้อหาประมาณ 15% ของเนื้อหาบนฟีด Facebook และมากกว่านิดหน่อยบนฟีด Instagram ที่จะแนะนำบุคคล กลุ่ม หรือบัญชีที่คุณไม่ได้ติดตามมาให้คุณ เราคาดหวังว่าตัวเลขเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีหน้า” มาร์กกล่าว
หรือก็คือ Unconnected Distribution ถูกกำหนดให้เป็นปัจจัยที่ใหญ่กว่ามากในการกำหนดค่า Reach ของโพสต์บน Facebook ซึ่งหมายความว่า ธุรกิจทั้งหลายจำเป็นต้องพิจารณาว่า Unconnected Distribution จะทำงานอย่างไรในกระบวนการทำงานที่กว้างขึ้น
ซึ่งสิ่งที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้นคือ การมี ‘ดราม่า’ โดยจากการศึกษาพบว่า ความโกรธเป็นอารมณ์​ที่แพร่กระจายได้ง่ายที่สุดบนโซเชียลมีเดีย คุณต้องสร้างอารมณ์ให้กับเนื้อหาของคุณ และนี่คือการตอบสนองโดยสัญชาตญาณ 2 แบบที่มีแนวโน้มว่าจะทำให้คนทั้งหลายพิมพ์บนโพสต์คุณได้มากที่สุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแชร์

เช่นเดียวกับการโพสต์ข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ของคุณดีแค่ไหนอาจจะไม่มีใครสนใจ แต่หากตอบกลับด้วยคำที่ล่อแหลม คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วในวันนั้น แม้จะมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียงก็ตาม

อ้างอิง : https://thestandard.co/meta-shares-new-insights/

Uber เดินหน้าธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับเซ็นสัญญาบริษัทร่วมทุน Motional

หลังจากช่วงเวลาที่วุ่นวายที่ผ่านมาสำหรับ Uber ทางบริษัทกำลังกลับเข้าสู่การแข่งขันสำหรับยานยนต์อัตโนมัติด้วยข้อตกลงใหม่กับบริษัท Motional บริษัทร่วมทุนของ Hyundai และ Aptiv ซึ่งมันอาจจะกลายเป็นการสร้างเครือข่ายสำหรับการเรียกใช้ยานยนต์อัตโนมัติที่ใหญ่ที่สุดของโลก

เกือบสองปีหลังจากขายแผนกวิจัยยานยนต์อัตโนมัติให้กับคู่แข่ง ในที่สุด Uber ก็กลับมาสู่ธุรกิจ robotaxi ได้อีกครั้ง โดยบริษัทได้ลงนามในข้อตกลงเป็นเวลา 10 ปีกับ Motional ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Hyundai และ Aptiv เพื่อติดตั้งยานพาหนะอัตโนมัติบนแพลตฟอร์มการเรียกรถและการส่งมอบของบริษัท

ยานยนต์ไร้คนขับของ Motional จะส่งทั้งผู้โดยสารและสิ่งของต่างๆสำหรับ Uber รวมทั้งส่งอาหารสำหรับ Uber Eats ด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปลายปีนี้ได้ อย่างไรก็ตาม Motional ยังให้บริการแท็กซี่อัตโนมัติในลาสเวกัสกับ Lyft ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของ Uber ในขณะที่ Uber มีข้อตกลง 10 ปีกับ Nuro เพื่อใช้ตู้ส่งสินค้าแบบไร้คนขับของบริษัทในแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส

ข้อตกลงนี้แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของความทะเยอทะยานสำหรับธุรกิจยานยนต์อัตโนมัติของ Uber หลังจากช่วงเวลาที่วุ่นวายสำหรับธุรกิจของพวกเขา โดย Travis Kalanick ซีอีโอคนแรกของบริษัทมองว่ายานยนต์ไร้คนขับนั้นเป็นการลงทุนที่จำเป็น และ Kalanick คาดการณ์ว่าเทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติจะลดต้นทุนการโดยสาร Uber ไปจนถึงจุดที่จะครองการคมนาคมขนส่งในเมืองส่วนใหญ่

ทาง Uber ได้กล่าวว่าการรวมกันของความรู้เกี่ยวกับอัลกอริทึมของ Uber และยานพาหนะของ Motional จะส่งผลให้ “ประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า Uber รวมไปถึงส่งผลให้เวลารอลดลงและค่าโดยสารลดลง”

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/10/6/23388841/uber-motional-robotaxi-autonomous-vehicle-deal-av

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 7 – 13 ตุลาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก