ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 3 เดือนตุลาคม 2022

Google ทดลองใช้ AI วิเคราะห์ความเสียหายจากภัยพิบัติ ช่วยโอนเงินเยียวยาให้

Google จับมือมูลนิธิ GiveDirectly ทดลองใช้ AI วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม บ้านที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อช่วยโอนเงินเยียวยาได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น

หลังจาก เฮอริเคนเอียน (Ian) พัดถล่มชายฝั่งสหรัฐฯ ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา บ้านเรือนได้รับความเสียกระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งล่าสุดมีบ้านเรือนกว่า 3,500 ครัวเรือน ได้ข้อความในการรับข้อเสนอเงินเยียวยา ช่วยเหลือราว 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 24,500 บาท) โดยไม่มีการถามไถ่ใด ๆ
เงินเยียวยานี้ ได้รับการวิเคราะห์จาก อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ของ Google ที่ร่วมมือกับมูลนิธิไม่แสวงผลกำไร GiveDirectly ด้วยการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพื่อระบุบ้านของผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

Instelite ได้เขียนเกี่ยวกับหัวข้อนี้โดยละเอียดบนเว็บไซต์ของเขา

GiveDirectly ได้ส่งการแจ้งเตือนแบบพุช โดยเสนอเงิน 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 24,500 บาท) ให้กับผู้ใช้แอปฯ ชื่อ Providers ที่อยู่อาศัยในโซนที่ได้รับผลกระทบจากเฮอริเคน

GiveDirectly กำลังทดสอบหนทางใหม่ในการช่วยเหลือทางการเงินยามฉุกเฉิน โดยร่วมมือกับ มูลนิธิการกุศลของ Google ในการเสนอเงินเยียวยาฉุกเฉินให้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้มูลนิธินี้เคยใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกันใน โตโก ประเทศในแอฟริกาตะวันตก เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในสหรัฐฯ

การร่วมมือกันครั้งนี้ ขับเคลื่อนโดยเครื่องมือทำแผนที่ ชื่อ Delphi ซึ่งพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านแมชชีนเลิร์นนิง(การเรียนรู้ด้วยตัวเองของคอมพิวเตอร์) ของ Google สี่คน ที่ทำงานร่วมกับ GiveDirectly เป็นเวลากว่า 6 เดือนโดยเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2019

ซอฟต์แวร์ดังกล่าว เน้นไปที่ชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือหลังภัยพิบัติ เช่น พายุเฮอริเคน โดยการวางซ้อนแผนที่ที่แสดงความเสียหายจากพายุแบบเรียลไทม์ ด้วยข้อมูลความยากจนจากแหล่งต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลจาก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา

จากนั้นข้อมูลความเสียหายจากพายุจะส่งให้เครื่องมืออีกตัวของ Google ที่เรียกว่า Skai ซึ่งใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมก่อนและหลังภัยพิบัติ และประเมินความรุนแรงของความเสียหายต่ออาคาร

แม้ว่าการช่วยเหลือแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากยังไม่ไว้วางใจในระบบนี้ เพราะอาจกลัวเรื่องแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงด้วย จากจำนวนผู้ที่ได้รับข้อเสนอเงินเยียวยานี้ มีคนกดรับไม่ถึง 200 คนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไทยสามารถบูรณาการการใช้ข้อมูลแบบนี้ได้ เชื่อว่าในอนาคตการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติในไทยก็จะแม่นยำมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการคอร์รัปชัน และช่วยเหลือได้อย่างทันท่วทีมากขึ้นแน่นอน

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/831131

NECTEC เปิดตัว “สุทธิชัย หยุ่น” นักข่าว A.I. คนแรกของไทย

NECTEC และ สวทช.จัดงานเปิดตัว A.I. นักข่าวคนแรกแห่งประเทศไทย ถอดแบบ “สุทธิชัย หยุ่น” นักข่าวรุ่นใหญ่ในวงการสื่อมวลชน พร้อมโชว์ความสามารถรายงานข่าวเป็นภาษาถิ่นเหนือและอีสาน
วานนี้ (9 ก.ย.2562) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC ) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานเปิดตัว A.I.นักข่าวคนแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการสร้าง A.I.โดยมีต้นแบบมาจาก “สุทธิชัย หยุ่น” นักข่าวรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมานานหลายสิบปี

NECTEC เปิดตัว “สุทธิชัย หยุ่น” นักข่าว A.I. คนแรกของไทย
NECTEC และ สวทช.จัดงานเปิดตัว A.I. นักข่าวคนแรกแห่งประเทศไทย ถอดแบบ “สุทธิชัย หยุ่น” นักข่าวรุ่นใหญ่ในวงการสื่อมวลชน พร้อมโชว์ความสามารถรายงานข่าวเป็นภาษาถิ่นเหนือและอีสาน
วานนี้ (9 ก.ย.2562) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC ) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานเปิดตัว A.I.นักข่าวคนแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นการสร้าง A.I.โดยมีต้นแบบมาจาก “สุทธิชัย หยุ่น” นักข่าวรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมานานหลายสิบปี

ผมขอประกาศตัวเป็นนักข่าว A.I. คนแรกเลยได้ไหม
สุทธิชัย A.I. ระบุว่า สุทธิชัย หยุ่น A.I.กำลังจะทำการปฏิวัติข่าวสารครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยการนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และน่าตื่นเต้นตลอดเวลา โดยสุทธิชัย A.I. คือตัวตนของสุทธิชัย หยุ่น เสียงจริง ลีลา ท่าทางจริง สักวันสุทธิชัย A.I.อาจมีอารมณ์และจิตวิญญาณของสุทธิชัยตัวจริงก็ได้ ซึ่งเกือบทั้งชีวิต ทำข่าวมา 50 ปี แต่ไม่มีช่วงเวลาไหนที่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับตอนนี้มาก่อน

ขณะนี้ไม่ใช่ mobile journalism เท่านั้น วันนี้มันคือ A.I.journalism ที่จะทำให้การสื่อสารเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ แม่นยำ เจาะลึกและไร้ข้อจำกัด โดยสุทธิชัย กับ สุทธิชัย A.I.เล่าข่าวเหมือนกัน แต่ต่อไปจะใช้เทคโนโลยี A.I.ยกระดับวงการสื่อมวลชนให้เข้มข้นขึ้น และสร้างความเท่าเทียมของการเข้าถึงข้อมูลและวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อรายงานข่าวให้ประชาชนได้รับรู้ทุกภาคส่วน โดยขณะนี้ สุทธิชัย A.I. สามารถเล่าข่าวเป็นภาษาถิ่นเหนือและอีสานได้ และในอนาคตอาจจะรายงานข่าวเป็นภาษาถิ่นใต้ได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ สุทธิชัย A.I. ยังได้โชว์ความสามารถพิเศษบนเวทีด้วยการเว้าอีสาน และอู้กำเมืองตามสำเนียงท้องถิ่นได้อย่างคล่องแคล่วและไม่ผิดเพี้ยน

อ้างอิง : https://www.thaipbs.or.th/news/content/283989

The Synthetic Party พรรคการเมืองเดนมาร์กที่นำโดย AI

พรรคการเมืองใหม่ที่นำโดย AI ในสายตาของเดนมาร์กเพื่อชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2023 เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อชีวิตของผู้คนและกำลังทำให้รู้สึกว่า AI นั้นมีตัวตนอยู่แม้ในทางการเมืองหลังจากประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ ศิลปะ และการเขียน

โดย Leader Lars ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค Synthetic Party นั้นเป็นแชทบอท AI และนโยบายทุกอย่างของพรรคนั้นมาจาก AI ซึ่งพรรคการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในยุโรปพรรคนี้หวังว่าจะได้เป็นผู้แทนรัฐสภาและกำลังทำงานเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อชีวิตประจำวันของผู้คน ซึ่งพวกเขาหวังที่จะบริหารประเทศ

Asker Staunaes ผู้ก่อตั้งพรรคและศิลปิน-นักวิจัยที่ MindFuture องค์กรไม่แสวงหากำไร บอกว่า Leader Lars ได้รับการฝึกอบรมเฉพาะเกี่ยวกับนโยบายที่พัฒนาโดยพรรคการเมืองเดนมาร์กหลังปี 1970 ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล่าวว่าพรรคนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวแทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวเดนมาร์กทั้งหมดประมาณ 20% ของประชาชนที่ปัจจุบันพรรคการเมืองของพวกเขาไม่ได้เป็นตัวแทนในรัฐสภา และเขายังกล่าวว่า “ปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบของการ machine learning ได้ดูดซับอินพุตของมนุษย์ไว้มากมายจนเราสามารถอ้างได้ว่าในทางเดียว ทุกคนมีส่วนร่วมในแบบจำลองเหล่านี้ผ่านข้อมูลที่พวกเขาให้ไว้กับอินเทอร์เน็ต”

อย่างไรก็ตามที่สำคัญ Leader Lars ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะเป็นเครื่องจักร แต่สมาชิกที่เป็นมนุษย์ของพรรคซึ่งตามทฤษฎีแล้วอาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนได้ โดย Staunæs กล่าวว่า “Leader Lars เป็นหน้าตาสาธารณะของพรรค และเดนมาร์กเป็นประชาธิปไตย ดังนั้นจะมีผู้คนในบัตรลงคะแนนที่อุทิศตนเพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสำหรับ AI และเป็นตัวแทนของ Leader Lars”

เมื่อกล่าวถึงปัญญาประดิษฐ์ โดยปกติแล้วจะอยู่ในข้อกำหนดของกฎระเบียบ แต่ Staunaes เชื่อว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมการพัฒนาเทคโนโลยีได้ “ดังนั้นเราจึงพยายามเปลี่ยนธีมเพื่อแสดงให้เห็นว่าด้วยวิธีการทางศิลปะและมนุษย์จัดการพวกมัน ปัญญาประดิษฐ์สามารถแก้ไขได้ภายในระบอบประชาธิปไตยและต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่มันทำ”

ตามรายงานจาก Motherboard ตอนนี้พรรค Synthetic Party มีเพียง 11 ลายเซ็นจาก 20,000 ลายเซ็นที่จำเป็นในการลงสมัครรับเลือกตั้งในรัฐสภาของเดนมาร์กอย่างถูกกฎหมาย

อ้างอิง : https://www.analyticsinsight.net/this-political-party-is-led-by-ai-are-they-preaching-transparency-or-racism/

ม.มหิดล ใช้ AI และหุ่นยนต์ช่วยวินิจฉัยเบาหวาน ลดเสี่ยงสูญเสียอวัยวะ

แม้ “ความหวาน” ถือเป็นความต้องการแรกๆ ของชีวิตมนุษย์นับตั้งแต่แรกเกิด ที่พบว่าต่อมรับรสหวานพัฒนาได้เร็วและดีกว่ารสอื่น และทำให้สมองหลั่ง “สารเอ็นดอร์ฟิน” แห่งความสุข แต่ “ชีวิตที่ติดหวาน” สุดท้ายมักไม่ได้ลงเอยด้วยความสุขเสมอไป ทว่ามักปิดท้ายด้วยความเจ็บป่วย และสูญเสีย

ศาสตราจารย์ นายแพทย์จุมพล วิลาศรัศมี อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เล่าถึงประสบการณ์ให้การรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานว่า ส่วนใหญ่มักประสบปัญหาแผลหายช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณเท้า จนบางรายเกิดอาการลุกลามจนถึงกับต้อง “ตัดเท้า” กลายเป็น “ผู้พิการ”

ซึ่งการป้องกันสามารถทำได้โดยหมั่นพบแพทย์ เพื่อการวางแผนรักษาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เดิมวินิจฉัยโดยการใช้อุปกรณ์ปลายแหลมที่คล้ายเอ็นตกปลากดสัมผัสไล่ตามจุดรับแรงกดบริเวณเท้า เพื่อตรวจสอบความรู้สึกของผู้ป่วย ซึ่งอาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้สูง ปัจจุบันจึงได้มีการใช้”ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์” มาเป็นเครื่องมือช่วยในการวินิจฉัยและประเมินผล

โดยเป็นผลงานที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ร่วมกับทีมงานของ รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลสร้างสรรค์ขึ้น ซึ่งให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับ จากการได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงอย่างกว้างขวางในวารสารวิชาการAsian Journal Surgery
และคว้า “รางวัลชนะเลิศ” First Prize Abstract and Presentation: A Novel Robotic Monofilament Test for Diabetic Neuropathy จากการประชุมโรคหลอดเลือดนานาชาติ 39th Annual VEITHsymposium ณ โรงแรมฮิลตันนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2555

แรกทีเดียวทีมวิจัยได้ออกแบบให้เป็นหุ่นยนต์ติดแขนกล ทำหน้าที่คล้ายมือแพทย์ในการวินิจฉัย แม้จะเป็นแบบ “ใช้สาย” แต่ก็ได้มีการทดสอบความปลอดภัย และประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มความสะดวก สำหรับวินิจฉัยภาวะเส้นประสาทเสื่อมที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน
แต่ต่อมาได้พัฒนาเป็นแบบ “ไร้สาย” โดยผู้ป่วยเพียงวางเท้าตรงจุดที่กำหนด หุ่นยนต์จะทำงานตรวจเช็กจุดที่ต้องการตรวจวัดความรู้สึกของผู้เข้ารับการวินิจฉัยให้โดยอัตโนมัติ
แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าเพียงใด แต่หากขาดความเอาใจใส่ดูแลสุขภาวะ และการใช้ชีวิตที่เหมาะสม อาจสายเกินไปเมื่อรู้ตัวว่าร่างกายกำลังป่วยเกินเยียวยา

“เบาหวาน” อาจเป็นโอกาสให้กับผู้ที่อยู่ใน “ภาวะเสี่ยง” ได้หันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยรุนแรงเมื่อสาย เพียงหันมา “ลดหวาน” กันอย่างจริงจังเสียตั้งแต่วันนี้

อ้างอิง : https://www.ryt9.com/s/prg/3365979

ญี่ปุ่นสร้าง “AI Buddha” เครื่องมือช่วยเราตรัสรู้

ญี่ปุ่นได้ใช้ทักษะทางเทคโนโลยีขั้นสูงอีกครั้งโดยการสร้างเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุการตรัสรู้ โดยเครื่องมือ AI ทางพุทธศาสนาดังกล่าวมีชื่อว่า AI Buddha ที่นำคำแนะนำทางจิตวิญญาณของพระคัมภีร์โบราณมาสู่สมาร์ทโฟน

ตามรายงานของบางกอกโพสต์ ซอฟต์แวร์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยทีมนักวิชาการด้านศาสนาและคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ซอฟต์แวร์นี้ได้รับการตั้งโปรแกรมให้สั่งสอนศาสนาพุทธประมาณ 1,000 คำสอน เช่น พระธรรมปดาและพระสุตตันตนิปาต โดยผู้ใช้ที่ต้องการการตรัสรู้สามารถตั้งคำถามกับรูปแทนตัวของชาวพุทธที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนได้ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดเท่าแก้วนั่งไขว่ห้างในฉากหลังเสมือนจริงโดยใช้ระบบสนทนา AI ที่ขนานนามว่า “Buddhabot”

แม้ว่าซอฟต์แวร์จะยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบและยังไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ แต่การเข้ามาของเครื่องมือ AI ทางศาสนาดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเป็นส่วนใหญ่ แอปสมาร์ทโฟนดังกล่าวได้รับความนิยมทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตามมีแอปอื่นๆ จำนวนมากมีเป้าหมายเพื่อให้มีสุขภาพจิตที่ดีโดยการฝึกสอนผู้ใช้เกี่ยวกับเทคนิคการทำสมาธิและการผ่อนคลาย ซึ่งแอปเหล่านั้นอาจจะมุ่งเน้นไปที่การเสพติด เสียใจกับการสูญเสียคนที่คุณรัก และมีมตลกๆ เพื่อรับมือกับวันที่ยากลำบากในที่ทำงาน

ปัจจุบันยังไม่มีกำหนดการที่ชัดเจนสำหรับแอปพลิเคชัน AI Buddha สำหรับการเปิดใช้งานแก่บุคคลทั่วไป แต่ในศาสนาพุทธ ความอดทนเป็นคุณธรรมอย่างแท้จริง และ AI Buddha แอปพลิเคชันใหม่ตัวนี้อาจช่วยให้เราสามารถบรรลุการตรัสรู้ได้อย่างง่ายดายจากสมาร์ทโฟนของพวกเขา

อ้างอิง : https://thethaiger.com/hot-news/japan-makes-path-to-enlightenment-easier-with-ai-buddha-tool

Adobe ได้เพิ่มความสามารถ AI และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันใน Photoshop

“Adobe ได้เพิ่มความสามารถให้ AI และเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันได้สะดวกมากขึ้นใน Photoshop จะมีฟีเจอร์อะไรได้รับการอัปเกรดบ้าง ไปชมกันเลย

Adobe เพิ่มความสามารถ AI และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันใน Photoshop

  • Share for Review ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกับทีมงานได้อย่างสะดวกสบาย
  • ฟีเจอร์ AI ใหม่ช่วยให้งานที่ซับซ้อนทำได้ง่ายขึ้น เช่น การเลือก object ที่มีรายละเอียดมาก และการเพิ่ม pro visual objects
  • ความสามารถใหม่ใน Photoshop on the web ช่วยแก้ไขรูปภาพในเบราว์เซอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ฟีเจอร์การแก้ไขภาพโดย AI ใน Photoshop และ Lightroom ถูกใช้มากกว่า 1.3
    พันล้านครั้งในปีที่ผ่านมา

19 ตุลาคม 2565 – ที่งาน Adobe MAX งานประชุมด้านครีเอทีฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก – อะโดบี (Nasdaq:ADBE) เปิดตัวนวัตกรรมใน Photoshop ที่ทำให้ Photoshop เป็นแอปพลิเคชันแก้ไขภาพที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก ทำงานได้สมาร์ทขึ้น ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และง่ายต่อการใช้งานในทุกเซอร์เฟซ

พร้อมกันนี้ Share for Review (Beta) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันในโปรเจกต์ได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องออกจาก Photoshop และฟีเจอร์ใหม่ทำให้การแก้ไขภาพบนเบราว์เซอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แอป Photoshop สำหรับเดสก์ท็อป ยังเพิ่มฟีเจอร์สุดล้ำที่ขับเคลื่อนโดย Adobe Sensei AI

รวมถึงการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับเลือกพื้นที่ (Selection) ที่เพิ่มคุณภาพของเครื่องมือโดยเลือกพื้นที่ได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมทั้ง “one-click Delete”, “Fill to remove” และ “Replace object” ในภาพได้ง่ายเพียงคลิกเดียว

สก๊อต เบลสกี้ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์และรองประธานบริหารของ Adobe Creative Cloud กล่าวว่า “ในโลกที่ทุกคนสามารถเป็นครีเอเตอร์ได้ อะโดบีมั่นใจว่า Photoshop พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับครีเอเตอร์ทุกคนบนอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ ในปีนี้ เราได้ทำให้ Photoshop ฉลาดขึ้นและรองรับทำงานร่วมกันได้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถได้รับฟีดแบ็ก และสร้างผลงานที่น่าทึ่งได้เร็วยิ่งขึ้น”

การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น
การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเวิร์กโฟลว์งานครีเอทีฟในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล Photoshop เวอร์ชันใหม่สนับสนุนการทำงานร่วมกันได้จากทุกที่ โดยการเปิดตัว Share for Review ช่วยให้การทำงานร่วมกันสะดวกยิ่งขึ้นระหว่างครีเอเตอร์และทีมที่เกี่ยวข้อง: โดยฟีดแบ็กทั้งหมดจะได้รับการจัดการและรวมไว้ภายในแอป Photoshop โดยตรง

ฟีเจอร์ใหม่นี้ช่วยให้ครีเอทีฟสามารถแชร์งานในเวอร์ชันที่ต้องการในฟอร์มของ web link โดยทีมสามารถรีวิวงานและคอมเมนต์ได้อย่างง่ายดายในเบราว์เซอร์ของพวกเขา แม้ไม่ได้สมัครสมาชิก Creative Cloud ก็ตาม ไม่ว่าครีเอเตอร์จะแชร์งานให้ลูกค้ารีวิว หรือทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน Share for Review จะซิงค์คอมเมนต์ในอุปกรณ์ต่างๆ และทำงานได้ในทุกที่ ไม่ว่าจะในสำนักงาน ที่บ้าน หรือขณะเดินทาง

นวัตกรรม AI ทำให้การสร้างสรรค์เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ฟีเจอร์ AI ใหม่ที่เปิดตัวใน Photoshop เวอร์ชันล่าสุด ได้แก่:

ปรับปรุงเครื่องมือ Selection ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลากเมาส์ ตรวจจับ และทำ detailed selections ของวัตถุที่ซับซ้อนด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว สร้าง selections คุณภาพสูงขึ้น และแม่นยำยิ่งขึ้นของวัตถุต่าง ๆ เช่น ท้องฟ้า ฉากหน้า วัตถุ และเส้นผม โดยสามารถเก็บรายละเอียดขอบวัตถุได้มากที่สุด
ลบและเพิ่มวัตถุได้ใน One-click เครื่องมือจะเลือกและลบวัตถุออกจากรูปภาพหรือเรียกคืนพื้นที่ที่ลบออกโดยใช้ฟีเจอร์ Content-aware fill ใน single action ใน Photoshop on the web.
Photo Restoration Neural Filter (Beta) ช่วยให้ผู้ใช้ Photoshop on the web นำรูปภาพเก่าหรือรูปภาพที่เสียหายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยใช้ machine learning ในการกำจัดรอยขีดข่วน และความไม่สมบูรณ์อื่นๆ บนภาพถ่ายเก่าอย่างชาญฉลาด
ลบ Background พร้อมใช้งานแล้ว ใน Photoshop on the web (Beta) โดยช่วยลบพื้นหลังได้ภายในคลิกเดียว
Masking และ Brushing พร้อมใช้งานแล้ว ใน Photoshop on the web (beta) โดยทำให้การปรับแต่งที่แม่นยำทำได้เร็วขึ้น และง่ายขึ้นจากเว็บเบราว์เซอร์
ในปีที่ผ่านมา ฟีเจอร์แก้ไขภาพ Photoshop และ Lightroom AI ถูกใช้ไปแล้วมากกว่า 1.3 พันล้านครั้ง เครื่องมือเหล่านี้ทำให้งาน Photoshop ธรรมดา ๆ เช่น การเลือกวัตถุที่มีรายละเอียดซับซ้อน การเปลี่ยนการแสดงสีหน้าของบุคคล หรือการลบสิ่งบกพร่องต่าง ๆ ออกจากรูป portrait ทำงานได้ดีขึ้นด้วยความสามารถในการลดความยุ่งยากซับซ้อน และลดกระบวนการที่ใช้เวลานาน Neural Filters และฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ Photoshop มีเวลามากขึ้นในการทำสิ่งที่พวกเขารักและสร้างมันขึ้นมาได้

พัฒนาประสบการณ์ Multi-Surface
Photoshop มอบประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ และใช้งานง่ายบนเดสก์ท็อป iPad และเบราว์เซอร์ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาทันทีที่เกิดไอเดียและแรงบันดาลใจ Photoshop on the iPad และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ง่ายต่อการสร้างสรรค์บนแท็บเล็ต ผู้ใช้ iPad สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ Content-Aware Fill และ Remove Background แบบ one-tap อันทรงพลังของ Photoshop โดย AI จะช่วยสร้างสิ่งต่างๆแทนองค์ประกอบที่ไม่ต้องการในรูปภาพได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ครีเอเตอร์และฝ่ายตัดต่อทำงานได้เร็วขึ้น”

อ้างอิง : https://www.iphonemod.net/adobe-adds-ai-capabilities-to-photoshop.html

Stability AI บริษัทเบื้องหลัง Stable Diffusion มูลค่าทะลุพันล้านเหรียญหลังระดมทุน

Stability AI บริษัทที่อยู่เบื้องหลังโปรแกรม AI แปลงข้อความเป็นรูปภาพยอดนิยม Stable Diffusion ได้ระดมทุนใหม่ทำให้ทางบริษัทมีมูลค่าถึงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ (ตามรายงานของ Bloomberg) ถือว่าเป็นหมุดหมายที่สำคัญของแนวทางการพัฒนา AI ของบริษัทที่เน้นที่โมเดลโอเพนซอร์สที่ทุกคนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องมีการกำกับดูแล ซึ่งตรงกันข้ามกับคู่แข่งสำคัญเช่น OpenAI และ Google

Stability AI กล่าวว่าได้ระดมทุน 101 ล้านดอลลาร์ในรอบที่นำโดย Coatue, Lightspeed Venture Partners และ O’Shaughnessy Ventures และพวกเขาจะใช้เงินเพื่อ เร่งการพัฒนา AI สำหรับภาพ ภาษา เสียง วิดีโอ 3D และอื่นๆ สำหรับผู้บริโภคและองค์กรทั่วโลก

Stable Diffusion เป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นนำของ AI แปลงข้อความเป็นรูปภาพ ซึ่งรวมถึงโมเดลต่างๆ เช่น DALL-E ของ OpenAI, Imagen ของ Google และ Midjourney แต่อย่างไรก็ตาม Stability AI ได้สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าด้วยการสร้างซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส นั่นหมายความว่าใครๆ ก็สามารถต่อยอดจากโค้ดของบริษัทหรือแม้แต่ใช้เพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงพาณิชย์ของพวกเขาได้

โดยทาง Stability ยังได้นำเสนอโมเดลเชิงพาณิชย์ของพวกเขาที่มีชื่อว่า DreamStudio และกล่าวว่ามีแผนที่จะสร้างรายได้โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปรับแต่งเวอร์ชันของซอฟต์แวร์สำหรับลูกค้าองค์กร ปัจจุบันบริษัท Stablity นั้นตั้งอยู่ในลอนดอนและมีพนักงานประมาณ 100 คนทั่วโลก ซึ่งมีแผนจะขยายบริษัทเป็นประมาณ 300 คนในปีถัดไป บริษัทยังผลิตโมเดล AI ขนาดใหญ่อื่นๆ ในเวอร์ชันโอเพนซอร์ส รวมถึงระบบสร้างข้อความเหมือนกับ GPT-3 ของ OpenAI อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ลักษณะโอเพนซอร์สของซอฟต์แวร์ AI ของทาง Stability ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างภาพที่อาจเป็นอันตรายได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่ภาพเปลือยที่ไม่ได้รับความยินยอมไปจนถึงการโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นักพัฒนารายอื่นๆ เช่น OpenAI ได้ใช้แนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้นสำหรับเทคโนโลยีนี้ โดยได้ใช้ตัวกรองและติดตามว่าแต่ละบุคคลใช้ผลิตภัณฑ์ของตนอย่างไร นอกจากนั้นแล้วยังมีคำถามเกี่ยวกับปัญหาทางกฎหมายที่มีอยู่ในโมเดลแปลงข้อความเป็นรูปภาพอีกด้วย ซึ่งระบบทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลที่คัดลอกมาจากเว็บ รวมถึงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ จากบล็อกและเว็บไซต์ของศิลปิน ไปจนถึงรูปภาพจากเว็บไซต์ถ่ายภาพสต๊อก มีบุคคลจำนวนมากถูกนำผลงานของพวกเขาไปใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตในการฝึกอบรมระบบเหล่านี้ และปัญหาเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/10/18/23410435/stability-ai-stable-diffusion-ai-art-generator-funding-round-billion-valuation

มาแล้วจ้า! AI ตรวจจับกลิ่น

ถ้ายังจำกันได้ ในช่วง COVID ระบาดหนัก มีความพยายามพัฒนา AI ที่สามารถวิเคราะห์ “กลิ่น” จากลมหายใจผู้ป่วย เพื่อจำแนกคนติด COVID เพิ่มเติมจากการวัดอุณหภูมิ และการสแกนใบหน้า

โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Loughborough โรงพยาบาล Western General มหาวิทยาลัย Edinburgh และศูนย์มะเร็ง Edinburge ในสหราชอาณาจักร ได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการ Deep Learning ที่สามารถวิเคราะห์สารประกอบในลมหายใจมนุษย์ และตรวจจับอาการป่วยที่มีประสิทธิภาพมากความสามารถในการดมกลิ่นของมนุษย์

“หากเปรียบเทียบมนุษย์กับสัตว์ในเรื่องการดมกลิ่นแล้ว ถือว่าคนเรามีพัฒนาการด้านนี้ที่น้อยกว่ามาก” ศาสตราจารย์ ดร. Andrea Soltoggio

แน่นอนว่า ผลการดมกลิ่น อาจไม่มีต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก เมื่อเทียบกับการมองเห็น หรือการได้ยิน ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงจัดเอาสัมผัสทางกลิ่นเอาไว้ท้ายสุด ศาสตราจารย์ ดร. Andrea Soltoggio กล่าว และว่า

“ธรรมชาติจึงไม่ได้เจาะจงให้เราใส่ใจข้อมูลมหาศาลที่ส่งผ่านมาในอากาศ ซึ่งจะสามารถรับรู้ได้ ก็โดยกระบวนการรับรู้กลิ่นผ่านระบบสัมผัสที่มีความไวสูงเท่านั้น”

“เทคโนโลยีนี้ ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการวิเคราะห์จากตัวอย่างลมหายใจ ถ้าเทียบกับมนุษย์ที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสังเคราะห์ โดย AI ได้พิสูจน์ว่า กระบวนการต่อจากนี้ สามารถลดต้นทุนการดักจับกลิ่นได้ อีกทั้งยังมีความเชื่อถือมากกว่าอีกด้วย” ศาสตราจารย์ ดร. Andrea Soltoggio สรุป

ดร. Angelika Skarysz นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัย Loughborough ระบุว่า ทีมงานได้สร้าง “โครงข่ายประสาทเทียม” หรือ Neural Network จากนั้น นำเข้ากลิ่นลมหายใจของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับรังสี และเคมีบำบัด โดยจะเพิ่มจำนวนข้อมูลโดยใช้วิธีการ Data Augmentation

“นี่คือความสำเร็จของ Machine Learning เป็นครั้งแรกที่จะพยายามเรียนรู้รูปแบบของไอออน และการตรวจจับสารประกอบจากข้อมูลดิบ” ดร. Angelika Skarysz ทิ้งท้าย

นอกจากนี้ นักวิจัยชาวอเมริกันอีกกลุ่ม ได้เปิดตัว AI ที่ใช้ในการจำแนก และสร้างกลิ่นต่างๆ ขึ้นมาใหม่ โดยเครื่องมือนี้ได้รับการพัฒนา และทดสอบโดยนักวิจัยของ Google ร่วมกับนักวิชาการจาก Monell Chemical Senses Center

โดยทั่วไปแล้ว “กลิ่น” เกิดจากโมเลกุลที่ถูกปล่อยออกสู่อากาศ โดยโมเลกุลเหล่านั้นจะลอยเข้าจมูกของเรา และถูกประมวลผลโดย “ปลายประสาทรับความรู้สึก” ก่อนจะส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อช่วยให้มนุษย์รับรู้กลิ่นได้ ปกติแล้ว “กลิ่น” จะถูกจำแนกโดยใช้วิธีการเดียวกับการจำแนกสี ที่ใช้ “แผนที่ประสาทสัมผัส” หรือ Sensory Maps ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของสมอง โดย Sensory Maps คือการสังเคราะห์การรวมตัวของสีต่างๆ และแสดงให้เห็นว่า สีเหล่านั้นผสมกันออกมาเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ดี Sensory Maps ในส่วน “กลิ่น” ของมนุษย์ยังไม่ละเอียดเท่าการมองเห็น เนื่องจากโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นมีความซับซ้อนกว่ามาก และต้องใช้มากกว่าอนุภาคโฟตอนที่ใช้ในการเห็นสี
เหตุผลก็คือ ดวงตาของมนุษย์มีปลายประสาทรับความรู้สึกเพียง 3 ตัวสำหรับการมองเห็นสี แต่จมูกของเรานั้น มีถึงกว่า 400 ตัวเพื่อการจำแนกกลิ่นผ่านความหมายที่แตกต่างกัน 55 แบบ

ดังนั้น “โครงข่ายประสาทเทียม” หรือ Neural Network จึงเข้ามามีบทบาทเพื่อจำแนกโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับ “กลิ่น” โดย Google ตั้งชื่อเครื่องมือนี้ว่า Principal Odor Map ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ “ทำนายคุณสมบัติกลิ่นของโมเลกุล” นอกจากนี้ “โครงข่ายประสาทเทียม” ยังได้รับการฝึกให้สามารถจำแนกลักษณะเฉพาะของโมเลกุลที่จำเป็นต่อการทำนายกลิ่นให้ถูกต้องผ่าน Sensory Maps เพื่อช่วยในการทำนาย และการค้นหากลิ่นใหม่ๆ อีกด้วย

ผลลัพธ์ที่ได้คือการคาดการณ์ว่า อาจมีโมเลกุลหลายพันล้านตัวที่มีกลิ่นแรง แต่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ โดย “โครงข่ายประสาทเทียม” ทำงานได้ดีกว่าจมูกมนุษย์หลายเท่า และเครื่องมือดังกล่าว สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายวงการ อาทิ การแพทย์ อาหาร และอุตสาหกรรมน้ำหอม เป็นต้น

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ Startup ด้านเทคโนโลยีสัญชาติฝรั่งเศสที่ชื่อ Aryballe ได้คิดค้นวิธีการวิเคราะห์กลิ่น เพื่อค้นหาว่า กลิ่นต่างๆ ส่งผลต่อคนเราอย่างไร

จุดมุ่งหมายหลักก็คือ การตรวจจับกลิ่นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้คนเรามีสุขภาพที่ดี และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

วิธีการของ Aryballe ก็คือ ใช้ส่วนเล็กๆ ของโปรตีนที่ติดอยู่บน Chip เพื่อตรวจจับโมเลกุล “กลิ่น” ต่างๆ แล้วนำมาประมวลผล โดยเครื่องตรวจจับกลิ่นนี้อาจมีประโยชน์มากกว่าที่คิด ตัวอย่างเช่น เมื่อปีกลาย ที่สนามบินกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ได้มีการทดลองใช้สุนัขดมกลิ่น เพื่อหาผู้ติดเชื้อ COVID
ทั้งนี้ การวิเคราะห์กลิ่นด้วย AI นอกจากจะช่วยในเรื่องของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว ยังถูกนำมาใช้ในการพัฒนาน้ำหอมกลิ่นใหม่ๆ ได้อีกด้วย

อ้างอิง : https://www.salika.co/2022/10/18/detect-smell-with-ai/

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 14 – 20 ตุลาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก