ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 5 เดือนพฤศจิกายน 2022

เจาะขอบสนาม ! มหกรรมกีฬาฟุตบอลโลก 2022 การแข่งขันที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี AI

แง่มุมเบื้องหลังของกีฬาฟุตบอลโลก ที่ไม่ใช่เพียงแค่กีฬา แต่ยังเป็นเหมือนงานอีเวนต์แสดงความรุ่มรวยในด้านเทคโนโลยีของมนุษยชาติ

ในที่สุด ฟุตบอลโลก มหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติแห่งปี 2022 ก็เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้คนนับล้านเฝ้าติดตามผลการแข่งขันแทบจะวินาทีต่อวินาที ขณะที่ความเข้มข้นของเกมกีฬาฟุตบอลโลก เบื้องหลังคือการทุ่มเททรัพยากรอย่างหนักของประเทศเจ้าภาพ เช่น กาตาร์ ทั้งด้านงบประมาณ และทรัพยากรบุคคลในประเทศ อีกทั้งมหกรรมกีฬาครั้งนี้ ยังประกอบไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ขนมาเต็มสรรพกำลัง เพื่อให้เกมกีฬาครั้งนี้เป็นไปด้วยความสมบูรณ์แบบ

เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาบรรจุไว้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เพื่อเผยให้เห็นถึงอีกแง่มุมเบื้องหลังของกีฬาฟุตบอลโลก ที่ไม่ใช่เพียงแค่กีฬา แต่ยังเป็นเหมือนงานอีเวนต์แสดงความรุ่มรวยด้านเทคโนโลยีของมนุษยชาติอีกด้วย

เทคโนโลยีช่วยตัดสินในเกมฟุตบอล
ก่อนนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยี VAR ในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย FIFA ได้ประกาศว่าเทคโนโลยีการจับล้ำหน้าแบบกึ่งอัตโนมัติจะถูกนำมาใช้ที่ FIFA World Cup 2022 ในกาตาร์ โดยประธานฟีฟ่า จานนี อินฟานติโน (Gianni Infantino) ได้ประกาศใน The Vision 2020-23 ว่า FIFA จะพยายามใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีในฟุตบอลอย่างเต็มที่และปรับปรุง VAR ให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับเทคโนโลยีช่วยตัดสิน ประกอบไปด้วย
– ระบบแจ้งเตือนการล้ำหน้าอัตโนมัติแก่ทีมเจ้าหน้าที่ควบคุมการแข่งขันในห้องวิดีโอ VAR
– ระบบแอนิเมชัน 3D ช่วยปรับปรุงการสื่อสารไปยังแฟน ๆ ในสนามกีฬาและผู้ชมโทรทัศน์
– ลูกฟุตบอล อัล ริห์ลา (Al Rihla)

สำหรับหนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ก็คือ ลูกฟุตบอล อัล ริห์ลา (Al Rihla) ที่ผลิตโดยอดิดาส (Adidas) ความโดดเด่นของลูกบอลดังกล่าวอยู่ที่ความสามารถจากเทคโนโลยีเซนเซอร์วัดแรงเฉื่อย (IMU) ที่อยู่ตรงกลางภายในลูกฟุตบอล ซึ่งวัดแรงที่มากระทบได้ในอัตราความถี่ 500 ครั้งต่อวินาที (500 IMU) ด้วยความเร็วนี้ ทำให้ลูกบอลสามารถวัดจังหวะล้ำหน้า และเป็นตัวช่วยให้ห้องควบคุม VAR ตรวจสอบจังหวะฟาวล์ หรือแม้แต่ตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้ทำประตู

โดยล่าสุด อัล ริห์ลา สร้างชื่อโดยการตรวจวัดจังหวะก้ำกึ่งที่ บรูโน แฟร์นันด์ส (Bruno Fernandes) ห้องเครื่องกองกลางตัวเก๋าจากโปรตุเกส เตะลูกบอลกระทบพื้นแล้วพุ่งเข้าประตู แต่ระหว่างนั้น ‘CR7’ คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) อดีตเพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และรุ่นพี่จากทีมชาติโปรตุเกส กระโดดใช้หัวโหม่งลูกบอล ซึ่งมองในมุมกล้องคลับคล้ายว่า โรนัลโด เป็นผู้โขกส่งฟุตบอลเข้าไปตุงตาข่าย แต่หลังจากห้อง VAR ตรวจสอบเซนเซอร์ของ อัลห์ ริห์ลา พบว่าจังหวะที่โรนัลโด กระโดดนั้น ไม่ได้มีแรงกระทำต่อลูกบอลแต่อย่างใด หมายความว่าจังหวะทำประตูลูกนี้เป็นเครดิตของบรูโน แฟร์นันดส์นั่นเอง

ขณะที่กล้องที่ติดตั้งบริเวณใต้หลังคาในทุก ๆ สนามยังช่วยจับการเคลื่อนไหวของนักฟุตบอล โดยมีระบบโมชันเซนเซอร์ จับจุดเคลื่อนไหว 29 จุดในร่างกายของนักฟุตบอลทุกคนด้วยความถี่ 50 ครั้งต่อวินาที ทำให้การตัดสินใจในห้อง VAR เพื่อตรวจจับล้ำหน้าและจุดโทษง่ายขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาถ่ายทอดเป็นภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ ที่จะทำให้เห็นส่วนประกอบเสมือนจริงของแขนขาที่ผู้เล่นถูกตรวจจับได้ กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที และหมายความว่าการตัดสินใจล้ำหน้าจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง

ระบบทำความเย็นในสนามแข่ง
การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน – 18 ธันวาคม เป็นครั้งแรกที่ตารางปฏิทินการแข่งขันฟุตบอลโลกถูกเลื่อนมาอยู่ช่วงปลายปี เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพภูมิอากาศที่มีความร้อนค่อนข้างสูงของประเทศกาตาร์ ถึงแม้ช่วงเวลาดังกล่าวจะมีอุณหภูมิความร้อนน้อยที่สุดของปีก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่นสนามฟุตบอลติดแอร์ขึ้นมา

ระบบนี้ถูกออกแบบโดย ซาอูด อับดุลลาซิส อับดุล กาห์นี (Saud Albdullaziz Abdul Ghani) นักวิจัยจากกาตาร์ ผู้มีฉายาว่า ‘Dr. Cool’ โดยเขาออกแบบให้มีการดูดอากาศผ่านท่อไปปรับความเย็น กรองแล้วดูดกลับเข้าไปในสนามใหม่ ทำให้สนามฟุตบอลแต่ละที่กลายเป็นเหมือนโอเอซิส พร้อมกับมีระบบเซนเซอร์ตรวจจับความร้อน ทำให้อุณหภูมิแต่ละพื้นที่เย็นทั่วถึงกันที่ประมาณ 17 – 23 องศาเซลเซียส ซึ่งทางผู้สร้างยังเคลมว่า ระบบนี้ประหยัดพลังงานกว่า 40 % เมื่อเทียบกับเทคนิคการทำความเย็นทั่วไปอีกด้วย

ระบบติดตามเฝ้าระวังความปลอดภัย
ระบบ Aspire Control and Command Centre ของกาตาร์ ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมและสั่งการ เพื่อคอยเฝ้าตรวจสอบสนามกีฬาทั้งหมดพร้อมกัน เพื่อจับตาดูผู้เข้าชมที่คาดว่าจะมีมากกว่าหนึ่งล้านคนตั้งแต่วินาทีที่ลงจากเครื่องบินจนถึงเดินทางกลับบ้าน ทั้งทำให้มั่นใจในความปลอดภัยด้วยกล้องทั้งหมด 15,000 ตัว เพื่อส่งข้อมูลไปยังศูนย์ Aspire เพื่อป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้าย

นอกจากว่า ศูนย์ควบคุม จะได้รับข้อมูลฟีดภาพจากกล้องนับหมื่นตัวแล้ว กาตาร์ยังใช้เทคโนโลยีกล้องจดจำใบหน้า (Face Recognition) เข้ามาช่วยตรวจสอบผู้คนที่เข้ามาชมการแข่งขัน เพื่อเสริมมาตรการความปลอดภัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังมีข้อกังขาไม่น้อยถึงความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าชมที่มาจากหลากหลายประเทศ

นอกเหนือจากนั้น ระบบอัลกอริทึมจะถูกใช้เพื่อป้องกันการเบียดเสียดจนเกิดเหตุโศกนาฏกรรม เหมือนดังเช่นในสนามฟุตบอลที่อินโดนีเซีย ที่เกิดเหตุเหยียบกันตายกว่า 130 ศพ โดย Aspire Control and Command Centre จะทำหน้าที่คำนวณผู้คนในแต่ละจุดของสนาม โดยกระจายผู้คนไปตามจุดต่าง ๆ นับตั้งแต่จุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมการแข่งขัน และประตูทางเข้าสนาม เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำรอยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งในสนามฟุตบอลที่จุผู้คนได้หลายหมื่นคนเช่นนี้

ระบบ FIFA PLAYER APP
แอปพลิเคชันนี้ถูกพัฒนาโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ร่วมกับสหภาพนักฟุตบอลอาชีพนานาชาติ หรือ FIFPRO (Federation Internationale des Associations de Footballeurs Professional) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลนักฟุตบอลทั่วโลก ร่วมกันสร้างแอปนี้ขึ้นมา โดยแอปนี้จะเผยข้อมูลสถิติ และวิเคราะห์ข้อมูลให้กับผู้เล่นรายบุคคล เช่น ความเร็วในการเคลื่อนที่ของนักเตะที่มากเกินกว่า 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้แต่ละทีมสามารถจัดการจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองได้ง่ายดายมากขึ้นด้วยอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ

ระบบช่วยเหลือผู้พิการ
ฟีฟ่าได้สั่งซื้ออุปกรณ์ที่ชื่อว่า โบโนเคิล (Bonocle) และ ฟีลิกซ์ (Feelix) มาใช้งาน โดยบริษัท โบโนเคิล ซึ่งถูกก่อตั้งในกาตาร์ ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นแพลตฟอร์มความบันเทิงอักษรเบรลล์แห่งแรกของโลก ด้วยการใช้แอปพลิเคชันที่พัฒนาและปรับให้เหมาะสมเพื่อให้สามารถทำงาน เรียนรู้ หรือเล่น ผ่านเสียงตอบรับที่สัมผัสได้ เช่น อักษรเบรลล์ ระบบสัมผัส และตัวอ่านเสียงแบบ Screen Reader/Voice Over และโต้ตอบกับแอปพลิเคชันผ่านปุ่ม การเคลื่อนไหว และเสียงพูด ด้วยการแปลงรหัสและเทคโนโลยีบลูทูธ ทำให้บุคคลที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นสามารถสัมผัสกับความตื่นเต้นของการแข่งขันฟุตบอลโลกได้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

ขณะที่ Feelix Palm เป็นอุปกรณ์สื่อสารด้วยฝ่ามือที่มีคุณสมบัติด้วยการใช้แรงกระตุ้นไฟฟ้า (Tactile Features) ซึ่ง Feelix Palm นำเสนอข้อความคล้ายอักษรเบรลล์ให้กับผู้พิการทางสายตาโดยไม่จำกัดการเคลื่อนไหวร่างกายหรือการได้ยิน เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้คนสามารถรับข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องเห็นหรือได้ยินข้อมูลไปพร้อม ๆ กันผ่านการสื่อสารข้อมูลด้วยลวดลายสัมผัสด้วยไฟฟ้าไปยังฝ่ามือ จึงเป็นครั้งแรกที่ผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตาได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศการแข่งขันของฟุตบอลโลก โดยมีเทคโนโลยีช่วยลดช่องว่างที่เกิดขึ้น

ระบบคำนวณผู้ชนะ
โดยระบบคำนวณผู้ชนะ เกิดจากการคำนวณโดยอัลกอริทึม ของสถาบันอลัน ทูริง (Alan Turing Institute) จากสหราชอาณาจักร โดยผู้วิจัยจะป้อนเอาข้อมูลสถิติต่าง ๆ จากเว็บไซต์ กิตฮับ (GitHub) ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมสถิติและโค้ดโปรแกรมต่าง ๆ ที่โปรแกรมเมอร์ทั่วโลกนิยมใช้ โดยข้อมูลประกอบไปด้วยสถิติของตัวนักเตะ สถิติการแข่งขันฟุตบอลทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 1872 เป็นต้นมา และความน่าจะเป็นต่าง ๆ เข้ามาคำนวณ ในที่สุดหลังจากการคำนวณกว่า 100,000 ครั้ง ผลสุดท้ายปรากฏว่า ทีมที่มีความน่าจะเป็นว่าจะได้คว้าชัยไปครองก็คือบราซิล ซึ่งมีโอกาสคว้าชัยอยู่ที่ราว 25% ขณะที่เบลเยียมได้อันดับที่ 2 จากการคำนวณที่ 18% และสุดท้ายตามมาที่อันดับ 3 คืออาร์เจนตินา ซึ่งมีโอกาสคว้าชัยราว 15%

สำหรับเทคโนโลยีทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถูกนำมาใช้เพื่อความสะดวกสบายของผู้คน อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยเหลือด้านความยุติธรรม เช่นการจับล้ำหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม หรือแม้แต่ช่วยเรียกจุดโทษให้กับทีมชาติอาร์เจนตินาจากจังหวะฟาวล์ที่ไม่มีใครสังเกต ทำให้ทีมชาติฟ้าขาวจากอเมริกาใต้ไม่ต้องเสียประโยชน์ จึงเห็นได้ว่า “ลูกตุกติก และลูกคาใจ” ที่เคยเป็นดราม่าในฟุตบอลโลกหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้แผลงฤทธิ์ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีต่าง ๆ นั่นเอง

แม้ฟุตบอลโลกครั้งนี้ จะผ่านเสียงครหา และคำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานามากมาย แต่กีฬาย่อมเป็นกีฬา หากชาติไหนฝ่าฟันไปถึงตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ที่ได้ชื่อว่ามีเทคโนโลยีในการช่วยตัดสินที่ค่อนข้างโดดเด่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็จะถูกจารึกไว้ว่าเป็นทีมที่ชนะไปได้อย่างใสสะอาด คู่ควรกับตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 สุดยอดมหกรรมกีฬาที่ทั่วโลกรอคอยโดยแน่แท้

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/132046/

ถูกใจคนผมร่วง นักวิทยาศาสตร์ใช้ AI ช่วยออกแบบการรักษาอาการศีรษะล้าน

ผมร่วงเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาสำหรับผู้ชายและผู้หญิงหลายคน เนื่องจากทรงผมส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง บางคนอาจยอมรับกับผมร่วงได้ แต่บางคนก็พยายามหาวิธีต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหากวนใจนี้ ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะมีวิธีใหม่มาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์สารประกอบที่ต่อต้านออกซิเจนชนิดที่มีปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดศีรษะล้านและปรับสมดุลให้สภาพหนังศีรษะเป็นกลางได้ โดยสร้างแผ่นแปะไมโครนีดเดิล (Microneedle Patch) ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถปลูกขนบนตัวหนูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาผมร่วงจำนวนมากมักจะมีภาวะผมร่วงแบบแอนโดรเจนิก (Androgenic Alopecia) ภาวะนี้เรียกอีกอย่างว่าศีรษะล้านเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในสภาวะนี้รูขุมขนอาจได้รับความเสียหายจากแอนโดรเจน เช่น การอักเสบ หรือปริมาณออกซิเจนที่ทำปฏิกิริยามากเกินไป เช่น เมื่อระดับอนุมูลอิสระของออกซิเจนสูงเกินไปจนทำให้กระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ทำงาน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้

ซูเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเตส (SOD) คือ 1 ในเอนไซม์ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยล่าสุดนักวิจัยได้สร้างสารเลียนแบบ SOD ที่เรียกว่า “นาโนไซม์” แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดอนุมูลอิสระของออกซิเจนได้ดีนัก ดังนั้น Lina Wang, Zhiling Zhu และเพื่อนร่วมทีมวิจัยจึงได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะสามารถช่วยออกแบบและพัฒนานาโนไซม์ที่ดีขึ้นเพื่อใช้สำหรับการรักษาผมร่วง

นักวิจัยเลือกสารประกอบไทโอฟอสเฟตของโลหะทรานซิชัน (Transition-Metal Thiophosphate) พวกเขาทดสอบกระบวนการเรียนรู้ของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยส่วนผสมของโลหะทรานซิชัน ฟอสเฟต และซัลเฟตที่แตกต่างกัน 91 ชนิด โดยได้สารประกอบ MnPS3 ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายซูเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเตส (SOD) เอนไซม์ที่มีศักยภาพมากที่สุด ต่อมาแผ่นนาโน MnPS3 ได้ถูกสังเคราะห์ผ่านเคมีของแมงกานีส (manganese) ฟอสฟอรัสแดง (Red Phosphorus) และผงกำมะถัน ซึ่งในการทดสอบครั้งแรกกับเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast Cells) ที่ผิวหนังของมนุษย์ แผ่นนาโนสามารถลดระดับออกซิเจนที่ทำปฏิกิริยาลงได้อย่างมากโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย

จากผลลัพธ์เหล่านี้ ทีมงานได้เตรียมแผ่นแปะไมโครนีดเดิล (Microneedle Patch) และหนูทดลองที่ได้รับผลกระทบจากแอนโดรเจนิก สัตว์เหล่านี้ได้สร้างเส้นขนใหม่ที่หนาขึ้นปกคลุมบริเวณที่ขนหายไป ภายใน 13 วัน เมื่อเปรียบเทียบแล้วมีการสร้างขนใหม่ที่หนาแน่นกว่าหนูที่ได้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนหรือไมน็อกซิดิล นักวิจัยกล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้ได้คิดค้นการรักษาด้วยนาโนไซม์เพื่อสร้างเส้นผมใหม่ และชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของวิธีการที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพื่อใช้ในการออกแบบการบำบัดอาการศีรษะล้านด้วยนาโนไซม์ในอนาคต

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/131772/

รู้จัก “ริชา Virtual Influencer” ไกด์ราชประสงค์ เปิดโลกใหม่กิน-เที่ยว-ช้อป

ราชประสงค์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคเอเชีย ชวนสัมผัสประสบการณ์ Eat-Pray-Shop เหนือระดับ ผ่านสาวน้อย “ริชา Virtual Influencer” ที่โคฟลุคของสาวย่านราชประสงค์คนเก๋ออกมาได้อย่างเสมือนจริง เสมือนเป็นไกด์ราชประสงค์ เปิดตัวครั้งแรกกับภารกิจที่จะพาทุกคนตะลุยกินของอร่อย ในโครงการ Taste It All @Ratchaprasong 2022 แล้วไปพักผ่อนให้หนำใจ กับบรรยากาศ Festive Season สุขสันต์โค้งสุดท้ายปลายปี

ไอเดียของ Virtual Influencer ที่สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (TCEB) ออกแบบสาวน้อย RICHA นั้นเรียกว่าสดใหม่ ไม่ซ้ำใคร โดยการนำเทคโนโลยีการออกแบบโดย AI Generation Face ในการสร้าง Virtual Influencer เพื่อสร้างตัวแทนส่งเสริมภาพลักษณ์ของโลกยุคใหม่ในการนำเสนอย่านท่องเที่ยวแห่งนี้ และถ่ายทำด้วยกล้อง VR360 – Insta360 Titan แบบ 8 เลนส์ ความคมชัด 11K ที่มีคุณภาพสูงที่สุดหนึ่งเดียวในประเทศไทย นำเสนอน้อง RICHA ภายใต้แนวคิด ‘พาคนบนออนไลน์ ท่องไปในสถานที่จริง’ โดยต้องการให้เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย ง่ายต่อการใช้งานเหมือนยามเราเดินทางในที่ไม่คุ้นเคยแล้วจำเป็นต้องเปิด Google Map

ซึ่งสาวน้อย “ริชา Virtual Influencer” ทำได้เหนือกว่า ทั้งการแนะนำเส้นทาง ให้ข้อมูลของอร่อย จุดเช็คอินห้ามพลาดและแนะนำจุดไหว้เทพ ประจำย่านราชประสงค์ ทำให้คนสนุกกับการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เหมือนมีเพื่อนสาวมาเป็นไกด์ราชประสงค์นำทาง

ด้วย Technology Integration ที่ได้ผสานการใช้ AI เพื่อทำ Face Generator สร้างเป็นหน้า VI และการออกแบบสไตล์ตาม Persona ของ RSTA Virtual Brand Ambassador น้อง RICHA จึง Represent ความเป็นตัวแทนของย่านราชประสงค์ออกมาได้อย่างลื่นไหล ที่มีคาแรกเตอร์ความสนุกสนาน เฟรนด์ลี่ ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แถมด้วย Gimmick สุดน่ารัก ถอดแบบสาวรุ่นใหม่สายมูยุคดิจิตอล เพื่อพาทุกคนไม่ว่าจะมีความสนใจในเรื่องใดก็สนุกกับการท่องเที่ยวและใช้เวลาในย่านฯ ได้ไม่มีวันหยุด

ให้น้อง RICHA พาเที่ยวย่านราชประสงค์ได้แล้วที่ www.bkkdowntown.com และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมโปรโมชั่นที่น่าสนใจทาง Facebook Page : We Love Ratchaprasong หรือคลิก https://www.facebook.com/HeartOfBangkok

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/832813

รายงานคาดตลาด AI โลกจะโตกว่า 38% ต่อปีสำหรับ 6 ปีข้างหน้า

SkyQuest ได้เผยแพร่รายงานล่าสุดเกี่ยวกับ AI ซึ่งคาดการณ์ว่าตลาดจะเติบโตจาก 93.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 เป็น 895.71 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ที่อัตรา CAGR 38.1% โดยการเติบโตของตลาดปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกน่าจะมาจากสามแหล่งหลัก: ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจสำหรับระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI การลงทุนที่เพิ่มขึ้นในการวิจัยและพัฒนา AI (R&D) และการขยายการใช้ AI ในอุตสาหกรรมต่างๆ

แม้ว่าการเติบโตทั้งหมดนี้เป็นข่าวดีสำหรับธุรกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงบางประการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AI ตัวอย่างเช่น หากอัลกอริทึมของ machine learning ทำงานผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลเสียหายหรือสูญหายได้ ความเสี่ยงอีกประการหนึ่งในตลาดปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกก็คือ หน่วยงานกำกับดูแลอาจเริ่มสงสัยมากขึ้นว่าบริษัทสามารถรวบรวมและใช้ข้อมูลได้มากน้อยเพียงใดโดยปราศจากความยินยอมหรือการกำกับดูแล นอกเหนือจากนี้ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่อุตสาหกรรม AI เผชิญคือการพัฒนาระบบที่มีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพ

แม้จะมีความเสี่ยงเหล่านี้ แต่ SkyQuest เชื่อว่าประโยชน์ของการใช้ AI มีมากกว่าในกรณีส่วนใหญ่ในตลาดปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลก รายงานระบุว่าปัจจุบันมีโอกาสมากมายสำหรับธุรกิจในตลาดปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลกในรูปแบบที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น ใช้เพื่อปรับปรุงการบริการลูกค้าหรือลดเวลาดำเนินการที่สำนักงานใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น เราคาดการณ์ว่าบริษัทต่างๆ จะใช้ AI มากขึ้น ไม่เพียงแต่สำหรับงานเฉพาะด้านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในหลายๆ ฟังก์ชันทางธุรกิจด้วย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่อาจนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพโดยรวมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

จากข้อมูลของ SkyQuest การนำ AI มาใช้ในภาคการค้าปลีกและการดูแลสุขภาพจะเพิ่มขึ้นที่ CAGR 34% และ 38.1% ตามลำดับ โดยปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้สำหรับงานต่างๆ เช่น การแนะนำผลิตภัณฑ์ (65%) การทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า (57%) และการทำงานอัตโนมัติที่ใช้แรงงานจำนวนมาก (52%) ในด้านการดูแลสุขภาพ AI ถูกใช้สำหรับงานต่างๆ เช่น การวินิจฉัยโรค (71%) การจัดการบันทึกผู้ป่วย (51%) และการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม (49%)

SkyQuest คาดว่าจะมีตลาดจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมากในความสามารถด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ภายในระบบ AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ พยายามที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าให้เหมือนมนุษย์มากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของลูกค้าและคาดการณ์ความต้องการได้ดีขึ้น และ NLP ยังช่วยให้บริษัทต่างๆ ดำเนินการกระบวนการที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติ เช่น การปฏิบัติตามคำสั่งซื้อ การเรียกเก็บเงิน และการสนับสนุนลูกค้า ซึ่งปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ผลักดันการเติบโตของตลาดปัญญาประดิษฐ์ในภาคส่วนเหล่านี้คือความพร้อมใช้งานของข้อมูลที่แพร่หลาย ผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการด้านสุขภาพเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากได้จากเทคโนโลยี เช่น E-commerce และ big data analysis

อ้างอิง : https://www.globenewswire.com/news-release/2022/11/30/2565117/0/en/Global-Artificial-Intelligence-Market-to-Hit-Sales-of-895-71-Billion-by-2028-Healthcare-to-Contribute-Over-194-Billion-SkyQuest-Technology.html

Google จีบมือกับบริษัทยา พัฒนา AI ตรวจหามะเร็งเต้านม

Google ประกาศในวันนี้ว่าพวกเขาได้ให้สิทธิ์ใช้โมเดล AI ที่พวกเขาวิจัยสำหรับการตรวจมะเร็งเต้านมแก่ iCAD บริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ Google ให้สิทธิ์ใช้งานเทคโนโลยีนี้โดยหวังว่าจะนำไปสู่การตรวจหามะเร็งเต้านมและการประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ทั้งสองบริษัทตั้งเป้าที่จะใช้เทคโนโลยีในสถานพยาบาลโดยได้ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2024 ซึ่งทาง Nicole Linton ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารของ Google กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ยังคงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการวิจัยและการทดสอบอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือนี้สร้างขึ้นจากงานก่อนหน้าของ Google โดยย้อนกลับไปในปี 2020 นักวิจัยของ Google ได้ตีพิมพ์บทความในวารสาร Nature ซึ่งพบว่าระบบ AI นั้นมีประสิทธิภาพเหนือกว่านักรังสีวิทยาหลายคนในการระบุสัญญาณของมะเร็งเต้านม โมเดลนี้ลดผลลบปลอม (false negatives) ได้มากถึง 9.4 เปอร์เซ็นต์ และลดผลบวกลวง (false positives) ได้ถึง 5.7 เปอร์เซ็นต์จากการตรวจแมมโมแกรมนับพันชิ้น

iCAD วางแผนที่จะรวมโมเดล AI วิจัยแมมโมแกรมของ Google เข้ากับเครื่องมือที่มีอยู่ของ iCAD ซึ่งอย่างแรกก็คือเครื่องมือ “ProFound AI” ที่วิเคราะห์ภาพจากการสังเคราะห์เต้านมแบบดิจิตอล (DBT) ซึ่งเป็นเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงที่บางครั้งเรียกว่า “การตรวจเต้านมแบบ 3 มิติ” iCAD ยังวางแผนที่จะใช้แบบจำลองของ Google กับเครื่องมือประเมินความเสี่ยง ซึ่งบริษัทกล่าวว่ามีการประมาณความเสี่ยงมะเร็งเต้านมส่วนบุคคลที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละคน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/11/28/23481967/google-partners-icad-med-tech-ai-breast-cancer-screening

“หมอพร้อม” เปิดบริการตรวจสุขภาพใจแล้ว พร้อมใช้ระบบ AI ประมวลผล

เชิญชวนคนไทยตรวจสุขภาพใจผ่านไลน์ “หมอพร้อม” ทำแบบทดสอบ พร้อมมีระบบให้พูดคุย AI เก็บข้อมูลสีหน้า น้ำเสียงและเนื้อหาเพื่อประมวลผลให้คำแนะนำ พร้อมทีมติดต่อกลับกรณีพบความเสี่ยงฆ่าตัวตาย

วันที่ 29 พ.ย.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พัฒนาแพลตฟอร์มหมอพร้อม เพื่อให้เป็นระบบบริการประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด19 อาทิ การบันทึกข้อมูลฉีดวัคซีนและออกใบรับรองการฉีดวัคซีน เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายก็ได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มไปสู่การบริการสุขภาพด้านอื่นๆ

ล่าสุด แพลตฟอร์มหมอพร้อมได้เพิ่มฟังก์ชั่น “ตรวจสุขภาพใจ” เข้าไปอยู่ใน Chatbot หมอพร้อม ซึ่งขอเชิญประชาชนเข้าไปใช้บริการเพื่อตรวจเช็คสุขภาพจิตเบื้องต้นและคัดกรองความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าได้ง่ายๆ เพียงเข้าไปที่ Line OA หมอพร้อม โดยเพิ่มเป็นเพื่อนที่ https://bit.ly/2Pl42qo เลือกเมนูคุยกับหมอพร้อม (chatbot) แล้วเลือก “ตรวจสุขภาพใจ” จากนั้นก็สามารถเข้าสู่การทำแบบทดสอบได้ หรือคลิ๊กเข้าไปทำแบบทดสอบโดยตรงได้ที่ https://bit.ly/DMIND_3

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ฟังก์ชั่นตรวจสุขภาพใจ นี้เป็นนวัตกรรม DMIND Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือของคณะแพทย์ศาสตร์และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งมีเป้าหมายคือการเป็นเครื่องมือสำหรับการคัดกรองผู้มีภาวะซึมเศร้าซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก เฉพาะในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 1.5 ล้านคน และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยปีละกว่า 4,000 คน พยายามฆ่าตัวตายถึงปีละ 53,000 คน ซึ่งการมีเครื่องมือคัดกรองนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาที่รวดเร็ว จะลดการทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ในระยะยาว

สำหรับขั้นตอนการทดสอบสุขภาพจิตและภาวะซึมเศร้าผ่านฟังก์ชั่นตรวจสุขภาพใจ หรือ DMIND Application นี้ จะเริ่มจากการทำแบบสอบถามเบื้องต้นก่อน จากนั้นระบบจะให้เปิดกล้องพูดคุยกับ “คุณหมอพอดี” ซึ่งเป็นระบบ AI โดยผู้รับการทดสอบสามารถ ระบายความในใจเหมือนกำลังพบกับจิตแพทย์ ซึ่งระบบจะรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสีหน้า น้ำเสียง วิเคราะห์เนื้อหา ความวิตกกังวล แล้วประมวลผลออกมา มีการประเมินผลเป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง และให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งหากอยู่ในเกณฑ์สีแดงที่เสี่ยงฆ่าตัวตายจะมีทีมงานติดต่อเพื่อนัดให้พบจิตแพทย์อย่างเร่งด่วน เพื่อเข้าสู่การรักษาต่อไป

อ้างอิง : https://siamrath.co.th/n/403346

Well by Samitivej แอปสุดล้ำสำหรับคนรักสุขภาพ

ก้าวไปอีกขั้น สำหรับ “สมิติเวช” ผู้นำด้านเทคโนโลยีผสานความเชี่ยวชาญทางการแพทย์

หลังจากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ที่ได้นำ Wellness Tech มาผสมผสานเพื่อให้บริการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพแบบ Total Health Solution การตรวจยีนเฉพาะบุคคล, Samitivej Plus นัดหมายแพทย์ ดูประวัติการรักษาผ่านออนไลน์ Samitivej PACE ดูสถานะการผ่าตัดแบบเรียลไทม์ หรือ Samitivej Prompt ระบบติดตามสถานะการดูแลผู้ป่วยในวอร์ด รวมทั้งนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ Samitivej Virtual Hospital ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ เป็นต้น

ล่าสุด สมิติเวช ได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่น “Well by Samitivej” ด้วยฟีเจอร์สุดล้ำ เพื่อตอกย้ำแนวคิด “เราไม่อยากให้ใครป่วย”

นายแพทย์ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้คนหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ Wellness หรือการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยมุ่งเน้นที่การป้องกันก่อนการเกิดโรค มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช ที่เน้นในเรื่อง Wellness Tech ภายใต้แนวคิด “เราไม่อยากให้ใครป่วย” เน้นการดูแลสุขภาพตั้งแต่ Self Care ไม่ป่วยเริ่มต้นที่ตัวคุณเอง ส่งเสริมสุขภาพด้วยการกินดี ออกกำลังเหมาะสมตามวัย, Early Care ไม่ป่วยป้องกันได้ด้วยการตรวจสุขภาพ วิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญและระบบ AI, Risk Care ไม่ป่วยเพราะรู้ทันก่อนเกิดโรคด้วย แบบประเมินความเสี่ยงแบบเฉพาะบุคคล ทั้งสุขภาพกายและใจ และ Sick Care ติดตามการรักษาอย่างเข้าใจจากผู้เชี่ยวชาญและบริการออนไลน์

“Well by Samitivej” เป็นแอปที่ช่วยวางแผนสุขภาพ เพื่อไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ พร้อมแผนดูแลสุขภาพจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วย AI สร้างวิถีสุขภาพที่ดีกว่าเดิมด้วยการแนะนำการกิน การออกกำลังกาย วางแผนที่เหมาะสมที่สุดแบบรายบุคคล (Personalized) จากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพจาก Smart Watch ดูประวัติและข้อมูลการรักษาสำหรับผู้รับบริการของสมิติเวช

แอป Well by Samitivej ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์กลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่ อายุ 25-35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญเรื่อง Health concern

นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการสร้าง Ecosystem Business Model เชื่อมโยงพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายด้าน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้รับบริการ อาทิ IMM by BDMS-นำเสนอแพ็กเกจอาหารสุขภาพส่งตรงถึงบ้าน และออกแบบเมนูอาหารเฉพาะบุคคล เฉพาะโรค มีนักโภชนาการคอยให้คำแนะนำ และ Robinhood (โรบินฮู้ด) บริการดีลิเวอรี่ส่งอาหาร ซื้อสินค้า ของกิน ของใช้

ส่วนด้านการออกกำลังกาย ได้ร่วมมือกับ FitLAB by Samitivej, Wind และยังรองรับการให้บริการด้านประกันจาก อลิอันซ์ อยุธยา และเมืองไทยประกันชีวิต รวมถึง Save Drug ร้านยาของ BDMS ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ สร้างความสะดวกสบายในการรับยาที่ร้านใกล้บ้านและบริการส่งยาตรงถึงบ้าน นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีแผนร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ในด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อดูแลด้านที่อยู่อาศัยอีกด้วย

ขณะที่ พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล รองผู้อำนวยการ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท และผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวเสริมว่า จากสถิติโรคยอดฮิตของคนไทย ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ดังนั้นในเฟสแรก จึงเปิด 4 ฟังก์ชั่นหลักที่พร้อมให้บริการครอบคลุมทุกมิติ เริ่มจาก Food : แนะนำเมนูสุขภาพกว่า 1,000 เมนู อาทิ เมนูสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ต้องการเสริมกล้ามเนื้อ หรือคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง ต้องการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร นอกจากนี้ยังสามารถสั่งอาหารเพื่อสุขภาพส่งถึงบ้านได้ด้วย

อ้างอิง : https://www.prachachat.net/marketing/news-1129687

Amazon วางแผนเตือนลูกค้าถึงข้อจำกัด AI ของบริษัท

Amazon.com Inc กำลังวางแผนที่จะส่งบัตรเตือนสำหรับซอฟต์แวร์ที่ขายโดยแผนกคลาวด์คอมพิวติ้งของพวกเขา เนื่องจากความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับระบบ AI นั้นสามารถให้ผลลัพธ์ที่แสดงถึงการแบ่งแยก (discrimination)

บัตรบริการ AI ดังกล่าวของ Amazon จะเปิดตัวต่อสาธารณะเพื่อให้ลูกค้าธุรกิจสามารถดูข้อจำกัดของบริการคลาวด์บางอย่าง เช่น การจดจำใบหน้าและการถอดเสียง เป้าหมายคือเพื่อป้องกันการใช้เทคโนโลยีที่ผิดพลาดและอธิบายวิธีการทำงานของระบบรวมไปถึงจัดการความเป็นส่วนตัว

Michael Kearns ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Pennsylvania และเป็นนักวิชาการที่ Amazon ตั้งแต่ปี 2020 กล่าวว่าการตัดสินใจออกบัตรดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายการตรวจสอบความเป็นส่วนตัวและความเป็นธรรมของซอฟต์แวร์ของบริษัท บัตรดังกล่าวจะกล่าวถึงข้อกังวลด้านจริยธรรมของ AI ต่อสาธารณชนในช่วงเวลาที่กฎระเบียบด้านเทคโนโลยีกำลังใกล้เข้ามา

โดย Amazon เลือกซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านประชากร (demographic) ที่ละเอียดอ่อนเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับบัตรดังกล่าว ซึ่ง Kearns คาดว่าจะบัตรสำหรับซอฟต์แวร์ชนิดอื่นๆจะตามออกมา โดยตัวอย่างบัตรของพวกเขาอีกแบบเช่น บัตรเกี่ยวกับซอฟต์แวร์การถอดความเสียง ซึ่ง Amazon ระบุไว้ในบัตรว่า “การปรับเปลี่ยนอินพุตเสียงที่ไม่สอดคล้องกันอาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ยุติธรรมสำหรับกลุ่มประชากรที่แตกต่างกัน” ซึ่ง Kearns ได้แสดงความคิดเห็นต่อคำที่ระบุดังกล่าวว่าการถ่ายทอดสำเนียงและภาษาถิ่นที่หลากหลายในอเมริกาเหนืออย่างถูกต้องเป็นความท้าทายที่ Amazon พยายามแก้ไขอยู่เหมือนกัน

Jessica Newman ผู้อำนวยการของ AI Security Initiative แห่งมหาวิทยาลัย California ที่ Berkeley กล่าวว่า บริษัทด้านเทคโนโลยีต่างเผยแพร่การเปิดเผยดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณของการปฏิบัติด้าน responsible เธอกล่าวว่า “เราไม่ควรพึ่งพาความปรารถนาดีของบริษัทต่างๆ ในการให้รายละเอียดพื้นฐานของระบบที่สามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของผู้คน” พร้อมเรียกร้องให้มีมาตรฐานอุตสาหกรรมมากขึ้น

อ้างอิง : https://www.reuters.com/technology/amazon-warn-customers-limitations-its-ai-2022-11-30/

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 25 – 30 พฤศจิกายน 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก