ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 1 เดือนพฤศจิกายน 2022

รองเท้าแน่นะวิ ! Moonwalkers อุปกรณ์ติดเท้าที่ทำให้เดินเร็วถึง 250%

สตาร์ทอัพสหรัฐฯ สร้างอุปกรณ์ช่วยเดินทรงตัวคล้ายรองเท้าสเกตที่ทำให้เดินเร็วขึ้น 250% ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวคิดและประสิทธิภาพที่ไม่คุ้มทุน

อุปกรณ์ช่วยเดิน เป็นแนวคิดที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นจากทั้งนักวิจัยและนักธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ต้องการทำให้การเดินหนึ่งในพื้นฐานการเดินทางที่สำคัญที่สุดของมนุษย์นั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น โครงสร้างภายนอก (Exoskeleton) ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พัฒนาต้นแบบขึ้นมาให้สามารถใช้งานได้จริงสำหรับแต่ละบุคคล โดยเน้นไปที่การลดภาระในการรับน้ำหนักในการเดิน แต่ก็มีสตาร์ทอัพใหม่ที่เสนอไอเดียนอกรีต ด้วยการสร้างรองเท้าเดินเร็วทรงคล้ายรองเท้าสเกต ที่สร้างเสียงฮือฮาและกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์อย่างรวดเร็ว

อุปกรณ์ดังกล่าวมีชื่อว่า มูนวอล์คเกอร์ส (Moonwalkers) พัฒนาโดยบริษัท ชิฟต์ โรบอติกส์ (Shift Robotics) ในสหรัฐอเมริกา มีรูปทรงคล้ายรองเท้าสเกต แต่มีล้อถึง 6 ล้อ ในรองเท้าแต่ละข้าง ติดตั้งแบตเตอรี่ที่สามารถทำให้ตัวรองเท้าวิ่งได้ไกลที่สุด 6 ไมล์ หรือประมาณ 9.6 กิโลเมตร ด้วยมอเตอร์ขนาด 300 วัตต์ พร้อมติดตั้งระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฝังไว้กับอุปกรณ์เพื่อควบคุมการทำงานของล้อแต่ละล้อให้สอดคล้องกับลักษณะการเดิน ป้องกันการลื่นไถลและเพิ่มความเร็วในการเดิน

ข้อจำกัดของ Moonwalkers
การเดินปกติจะมีอัตราเร็วอยู่ที่ราว ๆ 2.5 – 4 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือราว ๆ 4 – 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เมื่อสวมใส่มูนวอล์คเกอร์ส (Moonwalkers) จะเพิ่มอัตราเร็วในการเดินได้สูงสุด 250 เปอร์เซ็นต์ หรือกลายเป็นประมาณ 11 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถควบคุมการทำงานให้หยุดทำงานชั่วคราวด้วยท่าทาง (Gesture) ได้ เช่น การยกหลังเท้าขึ้นเพื่อให้อุปกรณ์หยุดเมื่อต้องการขึ้นบันได และกลับมาทำงานอีกครั้งด้วยการตบส้นเท้าเบา ๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเดอะไบท์ (The Byte) วิจารณ์ว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ เพราะระยะทางที่วิ่งได้สูงสุดเพียง 9.6 กิโลเมตร นั้นไม่สามารถใช้งานได้จริง อีกทั้งยังไม่สามารถใส่วิ่งได้ นอกจากนี้ยังมีราคาที่แพงมากเมื่อเทียบกับความสามารถ โดยบริษัทตั้งเป้าวางราคาขายไว้ที่คู่ละ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 53,200 บาท โดยบริษัท ชิฟต์ โรบอติกส์ (Shift Robotics) ได้เสนอขายโครงการนี้ในคิกสตาร์ตเตอร์ (Kickstarter) แพลตฟอร์มระดมทุนชื่อดังที่เป้าหมาย 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับตั้งต้นการผลิต แต่คาดว่าความแปลกนี้ทำให้ยอดล่าสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม พุ่งเกิน 170,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 6.5 ล้านบาท เข้าไปแล้ว

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/129138/

Wordcraft สร้างนิยายด้วย AI จาก Google

Wordcraft เป็น ‘โปรแกรมแก้ไขข้อความวิเศษ’ ที่ตั้งใจจะสร้างแรงบันดาลใจให้นักเขียนเมื่อพวกต้องการสร้างเรื่องราวใหม่ๆ แม้ว่ามันยังไม่น่าจะแทนที่ผู้เขียนคนโปรดของคุณในเร็วๆ นี้

ตอนนี้ Google สร้าง Wordcraft โดยใช้โมเดล AI ที่มีชื่อว่า LaMDA ซึ่งเป็นเครื่องมือการเขียนที่สามารถช่วยนักเขียนเชิงสร้างสรรค์สร้างเรื่องราวใหม่ๆ ปัจจุบันเครื่องมือช่วยเขียนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเครื่องมือไวยากรณ์หรือการเขียนคำโฆษณาเช่น Jasper ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Wordcraft แตกต่างออกไปเล็กน้อยอย่างเครื่องมือเหล้านั้นก็คือ มันวางตัวเป็นเครื่องมือในการช่วยสร้างงานเขียนแนวนิยาย (fiction) โดย Google อธิบายว่ามันเป็น “โปรแกรมแก้ไขข้อความที่มีวัตถุประสงค์โดยเฉพาะ” ที่จะไปอยู่ในโปรแกรมประมวลผลคำบนเว็บต่างๆ ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้งาน Wordcraft ให้เขียนวลีใหม่หรือสั่งให้สร้างประโยคที่สนุกขึ้นมาได้จากคำหรือประโยคที่เราใส่เข้าไป

เพื่อทดสอบ Wordcraft Google ได้สร้างเวิร์กช็อปกับนักเขียนมืออาชีพ 13 คนเพื่อดูว่าต้นแบบโปรแกรมนั้นทำงานได้ดีเพียงใด ซึ่งนักเขียนส่วนมากดูเหมือนจะชื่นชม Wordcraft ในการจุดประกายความคิดใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเครื่องมือนี้จะไม่แทนที่ผู้เขียนในเร็ว ๆ นี้

โดยถ้าเราใส่คำว่า “เพนกวินว่ายน้ำ” ลงไปใน Wordcraft มันจะสร้างแนวคิดในการเล่าเรื่องในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบที่เกี่ยวกับเพนกวินว่ายน้ำ ซึ่งเราสามารถบอกให้ Wordcraft ดำเนินเรื่องต่อจากแนวคิดเหล่านั้นได้ หรือเราสามารถเพิ่มคำอื่นๆใส่ลงไปได้ หรือแม้แต่พูดคุยกับแชทบอทเพื่อขอแนวคิดเพิ่มเติมได้

โดยปัจจุบัน Wordcraft นั้นยังอยู่ในขั้นทดลองแต่หลายๆคนที่ได้ทดสอบก็ให้การตอบกลับในเชิงบวกว่ามันใช้งานได้สนุก

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/11/2/23435258/google-ai-writing-wordcraft-lamda

ทล.ติดตั้ง “ไฟจราจรอัจฉริยะ” ข้ามทางม้าลาย แห่งแรกในนนทบุรี ใช้ระบบ AI

ทางหลวงติดตั้ง “ไฟจราจรอัจฉริยะ” ข้ามทางม้าลายแห่งแรกในนนทบุรี ทำงานร่วมกับ กล้องวงจรปิด-AI-ไฟสัญญาณจราจร

จากกรณีเด็กนักเรียนชั้น ม.1 ถูกรถจักรยานยนต์ชนได้รับบาดเจ็บขณะข้ามทางม้าลาย ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2565 รวมทั้งมีรถชนคนขณะข้ามทางม้าลายในหลายพื้นที่ กรมทางหลวงเล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยขณะคนข้ามถนน จึงได้จัดทำโครงการนำร่องติดตั้งสัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะบริเวณทางม้าลายขึ้นในหลายพื้นที่
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2565 ที่ถนนบางกรวย-ไทรน้อย บริเวณหน้าชุมชน ช.รุ่งเรือง 6 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี นายทรงฤทธิ์ ชยานันท์ รองผู้อำนวยการสำนักอำนวยการปลอดภัย กรมทางหลวง นายสุวิชช์ รอดภัย ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงนนทบุรี นายวสันต์ ขาวสงค์ ปลัดอำเภอบางบัวทอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง ผู้แทนจากเทศบาลเมืองบางบัวทอง เทศบาลเมืองใหม่บางบัวทอง เทศบาลเมืองบางกร่าง และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเปิดใช้ ไฟสัญญาณจราจรอัจฉริยะบริเวณทางม้าลาย (Smart crosswak) เต็มรูปแบบแห่งแรกใน จ.นนทบุรี

นายทรงฤทธิ์ กล่าวว่า กรมทางหลวงได้ดำเนินการปรับปรุงทางข้ามให้มีความปลอดภัยและนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในบริเวณทางข้าม ทางม้าลาย สำนักอำนวยความปลอดภัย กรมทางหลวง จึงมีโครงการนำร่องติดตั้งไฟสัญญาณจราจรอัจฉริยะสำหรับคนข้าม พร้อมระบบตรวจจับยานพาหนะและคนข้าม เพื่อให้สามารถข้ามถนนได้อย่างปลอดภัยและลดปัญหาการฝ่าฝืนไม่หยุดรถให้คนข้าม

นายทรงฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ระบบทางข้ามอัจฉริยะจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ระบบ คือ 1.กล้อง CCTV ตรวจจับปริมาณคนข้ามถนนและความเร็วของรถยนต์ 2.ระบบ AI ประมวลผลคนข้ามถนนกับการจราจรบนถนน 3.ระบบไฟสัญญาณจราจร ควบคุมการจราจรและควบคุมการข้ามถนนของผู้ใช้
นายทรงฤทธิ์ กล่าวต่อว่า ขั้นตอนการทำงานคือ

  1. เมื่อมีคนต้องการข้ามถนนมายืนรอข้ามทางม้าลายหากผู้ข้ามยังไม่ได้กดปุ่มระบบจะส่งเสียงเตือนให้กดปุ่ม เพื่อข้ามและให้รอสัญญาณเพื่อข้ามถนน
  2. ระบบจะทำการคำนวณจากเครื่องมือตรวจจับยานพาหนะบนผิวจราจรเพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมในการหยุดรถให้คนข้ามได้อย่างปลอดภัย
  3. เมื่อสัญญาณไฟบนถนนเปลี่ยนเป็นสีแดงระบบจะให้สัญญาณไฟเขียวสำหรับคนข้ามพร้อมส่งเสียงเตือนให้ผู้ข้ามระมัดระวังในการข้าม
  4. ในระหว่างการข้ามหากผู้ข้ามใช้เวลาเดินข้ามมากกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ระบบจะเพิ่มระยะเวลาให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งมีไฟคนข้ามกะพริบเตือนให้ทราบว่าระยะเวลาในการข้ามใกล้หมด
  5. เมื่อระบบตรวจสอบบริเวณทางข้ามว่าไม่มีผู้ข้ามระบบจะเริ่มให้สัญญาณการเดินรถได้ตามปกติ

สำหรับโครงการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะบริเวณทางม้าลาย มีนโยบายติดตั้งบริเวณทางคนข้าม หรือทางม้าลายที่เป็นจุดเสี่ยงทั่วจังหวัดนนทบุรี เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนที่ข้ามถนน นอกจากนี้ ยังมีโครงการติดตั้งทั่วประเทศ ทั้งนี้ ได้มีการนำร่องติดตั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและเมืองใหญ่ที่มีประชาชนใช้ทางข้ามเป็นจำนวนมากในเบื้องต้น

อ้างอิง : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7342137

ม.มหิดล เปิดเว็บไซต์ AIThaiGen สร้างนักเรียน-ครูพันธุ์ใหม่ ใส่ใจเทคโนโลยีแห่งอนาคต

หากสามารถทำให้แพทย์เป็นทั้ง “ผู้สร้าง” และ “ผู้ใช้” เทคโนโลยีด้วยความเข้าใจ ประโยชน์ที่จะได้อย่างแน่นอนคือ ผู้ป่วย
รองศาสตราจารย์ ดร.ปัณรสี ฤทธิประวัติ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้มากด้วยประสบการณ์ในการทำงานวิจัย และสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการทำงานของแพทย์ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย จนได้ถ่ายทอดออกมาหล่อหลอม “แพทย์นวัตกร” ให้พร้อมก้าวทันโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

โดยเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันนักศึกษาแพทย์ให้เป็นทั้ง “ผู้สร้าง” และ “ผู้ใช้” เทคโนโลยี เนื่องด้วยผู้ที่จะเข้าใจโจทย์ของการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้ดีที่สุด คือ “ผู้รักษา” และเข้าใจปัญหาของผู้ป่วยอย่างแท้จริง แม้จะไม่ถึงกับเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีขึ้นเอง แต่หากสามารถทำให้ “นักศึกษาแพทย์นวัตกร” สื่อสารกับวิศวกรได้ด้วยความเข้าใจ จะเป็น ความสำเร็จที่แท้จริงของการพัฒนาหลักสูตรเพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด

และจากความพยายามในการร่วมผลักดันนักศึกษาแพทย์สู่โลกแห่งนวัตกรรมเพื่อประโยชน์สำหรับผู้ป่วย เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ปัจจุบัน รองศาสตราจารย์ ดร.ปัณรสี ฤทธิประวัติ ได้ขยายผลสู่ “ระดับรากฐาน” โดยหวังให้เยาวชนไทยได้ “หยั่งลึก” สู่ “โลกแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ด้วยการเปิดเว็บไซต์ AIThaiGen เพื่อสร้าง “นักเรียนและครูพันธุ์ใหม่ใส่ใจเทคโนโลยี” เสริมการเรียนรู้ภายในโรงเรียน

เด็กๆ จะได้เรียนรู้เทคโนโลยี AI ใหม่ๆ อาทิ การสร้างโปรแกรมตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้า เพื่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ตลอดจนเพื่อทำให้การใช้ชีวิตในโลกยุคปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย ผ่านการเรียนรู้ทักษะการใช้ AI ด้วยตัวเอง

อ้างอิง : https://www.ryt9.com/s/prg/3369557

Microsoft เชื่อ AI ของพวกเขาจะมาเปลี่ยนแปลงงานกว่าหลายพันตำแหน่ง

Microsoft เชื่อว่าเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์พร้อมที่จะเปลี่ยนโฉม ‘หลายพัน’ ตำแหน่งงาน ซึ่งปัจจุบันนั้นติดปัญหาเรื่องอันตรายทางกฎหมายและจริยธรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อต้นปีนี้ GitHub ที่ Microsoft เป็นเจ้าของได้เปิดตัวเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ Copilot เพื่อทำงานร่วมกับโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ โดย Copilot จะแนะนำตัวอย่างโค้ดที่อาจตามมาสำหรับการเขียนโปรแกรม เช่น บอทเติมข้อความอัตโนมัติที่ได้รับการฝึกฝนให้พูดในภาษา Python หรือ JavaScript โดยเครื่องมือนี้กำลังใช้งานโดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์หลายแสนคนซึ่งพึ่งพาเครื่องมือนี้เพื่อสร้างโค้ดมากถึง 40% ที่พวกเขาเขียนในภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดหลายสิบภาษา และ GitHub เชื่อว่านักพัฒนาสามารถใช้ Copilot เพื่อเขียนโค้ดได้มากถึง 80% ภายในห้าปี “เราเชื่อจริงๆ ว่า GitHub Copilot สามารถจำลองงานความรู้หลายพันประเภทได้” Kevin Scott หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Microsoft กล่าว

มากกว่าไปกว่านั้นผู้บริหารของ Microsoft บอกกับ Bloomberg ว่าบริษัทของพวกเขามีแผนที่จะพัฒนาเทคโนโลยี Copilot เพื่อใช้ในโปรแกรมที่คล้ายคลึงกันสำหรับงานประเภทอื่นๆ เช่น งานในสำนักงาน การออกแบบวิดีโอเกม สถาปัตยกรรม และความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์

ซึ่งในที่สุดแล้วการใช้เทคโนโลยีในลักษณะนี้จะขยายตัวเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น โปรแกรมประเภทนี้อาจทำให้ผู้ผลิตวิดีโอเกมสร้างบทสนทนาอัตโนมัติสำหรับตัวละครที่ไม่ใช่ของผู้เล่นได้ การสนทนาในเกมที่มักจะรู้สึกหยิ่งหรือซ้ำซาก จากชาวบ้าน ทหาร และตัวละครในเบื้องหลังอื่นๆ อาจกลายเป็นการมีส่วนร่วมและตอบสนองในทันใด นอกจากนั้นทีมผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ Microsoft ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการค้นหาว่า AI สามารถช่วยป้องกันแฮกเกอร์ได้อย่างไร

แม้ว่า AI จะมีประโยชน์ใช้สอยเป็นอย่างมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่มาพร้อมกับโปรแกรม AI ประเภทนี้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่เป็นนั้นเพราะข้อมูลที่ไม่เป็นระเบียบที่พวกเขานำเข้ามา โดย Margaret Mitchell นักวิจัยด้านจริยธรรม AI และผู้เขียนร่วมของ บทความเกี่ยวกับอันตรายของแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ “การเหยียดเชื้อชาติสามารถเกิดขึ้นได้ และปัญหาด้านความปลอดภัยก็เช่นกัน”

แต่คำถามด้านจริยธรรมที่ใหญ่ที่สุดที่ปรากฏขึ้นสำหรับโปรแกรมเช่น Copilot คือประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ นักพัฒนาบางคนบ่นว่าโค้ดที่แนะนำนั้นดูน่าสงสัยเหมือนงานของตัวเอง โดยทาง GitHub กล่าวว่าเครื่องมือนี้สามารถสร้างโค้ดที่คัดลอกได้ในบางกรณี อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ที่นักวิจัยและนักพัฒนาสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ทั้งหมด และแน่นอนว่านั่นจะทำให้เกิดความท้าทายใหม่ นั่นคือผลกระทบต่อแรงงานมนุษย์ หากเทคโนโลยี AI ดีพอ ก็สามารถแทนที่แรงงานมนุษย์ได้ ขณะนี้เทคโนโลยีไม่แม่นยำพอที่จะแทนที่ใครได้ แต่ก็ดีพอที่จะสร้างความกังวลเกี่ยวกับอนาคตได้ แม้ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะปูทางไปสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ แต่ก็ทำให้คนจำนวนมากตกงานเช่นกัน

อ้างอิง : https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-01/microsoft-wants-ai-to-change-your-job-if-it-can-work-out-the-kinks

โซนี่ ไทย เปิดตัว Alpha 7R V จัดเต็มเทคโนโลยี AI สุดอัจฉริยะเพื่อสุดยอดคุณภาพ

โซนี่ ไทย พร้อมเดินหน้าปฏิวัติวงการถ่ายภาพครั้งใหม่ ด้วยการส่งสุดยอดนวัตกรรมกล้องอัลฟ่ามิเรอร์เลส Alpha 7R V (อัลฟ่า เซเว่น อาร์ มาร์ค ไฟว์) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุดจากตระกูลอัลฟ่า พร้อมมอบประสบการณ์การถ่ายภาพความละเอียดสูงด้วยโฟกัสอัตโนมัติแบบ AI รูปแบบใหม่ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์รับภาพอย่าง Full Frame Black-illuminated Exmor R™ CMOS แบบฟูลเฟรม 35 มม. ด้วยความละเอียดภาพ 61.0 ล้านพิกเซล

พร้อมกับ ระบบประมวลผลภาพแบบอย่าง BIONZ XR™ เพื่อมอบคุณภาพของภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ฟูลเฟรมในตระกูล “R” ที่ผสมผสานระหว่างเซนเซอร์ความละเอียดสูงและระบบประมวลผลภาพอันทรงพลังเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมกันนี้ยังชูแนวคิดสื่อสารถึงการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้นในทุกช่วงวัย ตอบโจทย์เหล่า Content Creators ทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ ภายใต้งาน “Every Chapter of Creator” Empower your Creativity

โซนี่ ไทย พร้อมเดินหน้าปฏิวัติวงการถ่ายภาพครั้งใหม่ ด้วยการส่งสุดยอดนวัตกรรมกล้องอัลฟ่ามิเรอร์เลส Alpha 7R V (อัลฟ่า เซเว่น อาร์ มาร์ค ไฟว์) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุดจากตระกูลอัลฟ่า พร้อมมอบประสบการณ์การถ่ายภาพความละเอียดสูงด้วยโฟกัสอัตโนมัติแบบ AI รูปแบบใหม่ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์รับภาพอย่าง Full Frame Black-illuminated Exmor R™ CMOS แบบฟูลเฟรม 35 มม. ด้วยความละเอียดภาพ 61.0 ล้านพิกเซล

พร้อมกับ ระบบประมวลผลภาพแบบอย่าง BIONZ XR™ เพื่อมอบคุณภาพของภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ฟูลเฟรมในตระกูล “R” ที่ผสมผสานระหว่างเซนเซอร์ความละเอียดสูงและระบบประมวลผลภาพอันทรงพลังเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว พร้อมกันนี้ยังชูแนวคิดสื่อสารถึงการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้นในทุกช่วงวัย ตอบโจทย์เหล่า Content Creators ทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ ภายใต้งาน “Every Chapter of Creator” Empower your Creativity

โดยกล้องอัลฟ่าฟูลเฟรมมิเรอร์เลส รุ่น Alpha 7R V (อัลฟ่า เซเว่น อาร์ มาร์ค ไฟว์) นับเป็นสุดยอดกล้องฟูลเฟรมมิเรอร์เลสระดับเรือธงตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 ของกล้องฟูลเฟรมมิเรอร์เลสที่ต่อยอดมาจากความสำเร็จของกล้องรุ่น Alpha 7R IV ตอบโจทย์การใช้งานแบบมืออาชีพที่ต้องการภาพความละเอียดสูงในระดับเฟิร์สคลาสได้เป็นอย่างดี โดยกล้อง Alpha 7R V (อ่านว่า : อัลฟ่า เซเว่น อาร์ มาร์ค ไฟว์) เป็นกล้องฟูลเฟรมมิเรอร์เลสทีโดดเด่นด้วยระบบ Real-Time Recognition AF ซึ่งจะเป็นระบบออโต้โฟกัสที่มีความแม่นยำขั้นสูงและการจดจำวัตถุที่ฉลาดขึ้น ทั้งยังขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล AI ที่ปรับปรุงใหม่ พร้อมการเรียนรู้ในเชิงลึก ในขณะเดียวกันยังออกแบบมาสำหรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากโดยเฉพาะ

เพื่อให้สามารถรู้จดจำวัตถุที่ถ่ายได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถรู้จำตัวแบบประเภทต่างๆได้อย่างหลากหลาย ด้วยหน่วยประมวลผล AI ที่ล้ำสมัยจะสามารถใช้ข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างของมนุษย์ในการรับรู้การเคลื่อนไหวและท่าทางของมนุษย์เพื่อใช้ในการจดจำ นอกเหนือจากระบบที่ตรวจจับเฉพาะใบหน้าและดวงตาของมนุษย์แล้ว ระบบยังสามารถตรวจจับตำแหน่งของร่างกายและศีรษะได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้ศักยภาพความละเอียดของกล้องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งนอกเหนือจากมนุษย์ สัตว์ และนกแล้ว หน่วยประมวลผล AI ยังสามารถเรียนรู้จดจำวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลายประเภทอีกด้วย อาทิ แมลง รถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน เป็นต้น ในขณะเดียวกันกล้อง Alpha 7R V ยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุด 10 fps และการติดตาม AF/AE นอกเหนือจากเทคโนโลยี AI ขั้นสูงที่อยู่ในกล้อง Alpha 7R V แล้ว ยังนับเป็นครั้งแรกของกล้องในซีรี่ย์ 7R ที่ได้ผสานคุณสมบัติอันโดดเด่นจากกล้องอื่นๆในตระกูล Alpha Series ของโซนี่เข้ามาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว อาทิ

-Real-Time Tracking ที่มีความแม่นยำสูง
-ระบบ AF ประสิทธิภาพสูง สำหรับพื้นที่กว้างที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
-การถ่ายภาพที่ไร้เสียงที่ความเร็วสูงสุด 7fps
-การถ่ายภาพ RAW ที่บีบอัดแล้วได้ต่อเนื่องถึง 583 ภาพด้วยความเร็วสูง
-ในขณะเดียวกันกล้อง Alpha 7R V ยังมาพร้อมการโฟกัสที่มีความละเอียดสูงแบบ DMF สามารถใช้งานได้แบบตลอดเวลา(การโฟกัสแบบแมนนวลโดยตรง) ซึ่งเป็นการถ่ายภาพนิ่งด้วยระบบโฟกัสอัตโนมัติด้วยการหมุนวงแหวนโฟกัสของเลนส์ เพื่อสลับเป็นโหมดโฟกัสด้วยตัวเองได้ทันทีและตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเปลี่ยนโฟกัสไปยังตัวแบบอื่น–ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการถ่ายภาพแบบคร่อมโฟกัส จะช่วยให้สามารถโฟกัสภาพที่ซ้อนกันได้อย่างดีเยี่ยม
และการควบคุมที่แม่นยำจนถึงระดับพิกเซลเดียว โดยที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากความละเอียด 61.0 ล้านพิกเซลของเซ็นเซอร์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อทำหน้าที่ในการดึงรายละเอียดวัตถุที่ดีที่สุดออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยิ่งไปกว่านั้นกล้อง Alpha 7R V ยังมาพร้อมโหมด Pixel Shift Multi Shooting ที่ได้รับการอัปเกรดใหม่ให้สามารถใช้ประโยชน์จากการควบคุมระบบป้องกันภาพสั่นไหวภายในตัวกล้องได้อย่างแม่นยำ ซึ่งกล้องจะบันทึกภาพโดยอาศัยเทคนิคการเลื่อนพิกเซลสูงสุด 16 ภาพที่มีประมาณ 240.8 ล้านพิกเซล(19,008 x 12,672 พิกเซล) และต่อมาจึงนำมาประกอบรวมกันในภายหลังด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ภาพความละเอียดที่สูงมากในภาพเดียว ในขณะเดียวกันหากใช้โหมดนี้จะสามารถให้ภาพที่มีความละเอียดเทียบเท่า 963.2 ล้านพิกเซลเลยทีเดียว

โดยซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ทำการประกอบรวมภาพสามารถจับและชดเชยได้แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยจนถึงระดับพิกเซลเดียว เมื่อใช้ควบคู่กับแอปพลิเคชัน Imaging EDGE Desktop™ เวอร์ชัน 3.5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของโซนี่ จะช่วยในการเคลื่อนไหวระดับพิกเซลที่มีขนาดเล็ก อาทิ การเลื่อนตำแหน่งของวัตถุหรือใบไม้บนต้นไม้ จะถูกตรวจจับและแก้ไขโดยอัตโนมัติ เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับองค์ประกอบของภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังรองรับการควบคุมแฟลชภายนอกที่แม่นยำและหลากหลายเพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมาพร้อมคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพนิ่งอีกมากมาย

อ้างอิง : https://www.sanook.com/hitech/1568117/

adapter digital โชว์เทคโนโลยีสุดล้ำ “Xsight” วัดผลโฆษณาเชิงลึกง่ายๆด้วย AI

Xsight แพลตฟอร์มวิเคราะห์ชิ้นงานโฆษณาเชิงลึกที่อาศัยการทำงานร่วมกันระหว่าง เทคโนโลยีตรวจจับพฤติกรรมการมอง เทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์ความรู้สึก ประมวลผลด้วย AI เพื่อให้แบรนด์เข้าใจและยกระดับงานโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถตรวจจับพฤติกรรมการมอง (Eye Tracking) , ตรวจจับสีหน้า อารมณ์ความรู้สึก (Facial Expression Tracking) มาทำงานร่วมกัน พร้อมประมวลผลด้วย AI นับเป็นเครื่องมือการวัดผลประสิทธิภาพของชิ้นงานวิดีโอโฆษณาที่สามารถผสานเทคโนโลยีดิจิทัล

แนวคิดด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) และการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมาย (Emotional Intelligence) เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวเพื่อเสริมขีดความสามารถของแบรนด์ให้สามารถเข้าใจข้อมูลเชิงลึก ทั้ง ปฏิกิริยา อารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจที่ผู้ชมมีต่อการรับชมโฆษณา รวมถึงสามารถนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุง พัฒนาต่อเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะเวลาที่รวดเร็ว
นายอรรถวุฒิ เวศรานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อะแด็ปเตอร์ ดิจิตอล จำกัด (adapter digital group) กล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายหลักของ adapter คือการยกระดับและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมโฆษณาไทยด้วย Data, Innovation และ Marketing Technology (MarTech) เพราะเรามีความเชื่อว่าดิจิทัลจะช่วยให้ธุรกิจและแบรนด์สามารถขับเคลื่อนการเติบโตทั้งการสร้างแบรนด์ในยุคดิจิทัล การรับรู้ของแบรนด์และการสร้างยอดขายได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วว่าวันนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลได้กลายมาเป็นเครื่องมือหลักในการทำการตลาด ตั้งแต่วิธีการสื่อสารไปจนถึงการขายสินค้า แต่ในขณะเดียวกัน วิธีการประเมินหรือการวัดผลจากกลยุทธ์ที่เราใช้ก็จำเป็นจะต้องอาศัยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยด้วยเช่นกันเพื่อให้แบรนด์ นักการตลาดสามารถเข้าใจอินไซท์เชิงลึกของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จาก XSight เช่น การใช้งานเพื่อระบุ “Attention Signals Score” เพื่อให้แบรนด์เข้าใจซีนที่กระตุ้นความสนใจและการรับรู้ของคนได้ดีที่สุด จากการนำค่าเฉลี่ยอารมณ์ร่วมของผู้ชมที่เกิดขึ้นระหว่างชมโฆษณา (Emotion Intensity Score) รวมเข้ากับซีนที่ผู้ชมพร้อมใจกันมองไปยัง “แบรนด์ / ผลิตภัณฑ์” ในโฆษณามากที่สุด (Visual Impact Score) ซึ่งสิ่งนี้ยังสามารถนำมาต่อยอดกับการทำโฆษณาฉบับสั้นหรือ Bumper ads1 จากซีนที่ได้รับความสนใจที่สุด (Top Attention Scene) ที่มั่นใจได้ว่าจะเป็นการคัดเลือกซีนที่ดีที่สุด

หรือการนำ XSight ไปใช้ระหว่างขั้นตอน Double Head2 เพื่อให้ได้งานโฆษณาที่มีคุณภาพ คุ้มค่าต่องบประมาณ ตอบโจทย์ทุกฝ่าย และสร้างความมั่นใจให้กับทั้งฝ่ายการตลาด ครีเอทีฟ และมีเดียมากที่สุด รวมถึงการถอดบทเรียนจากงานโฆษณาทั้งของตัวเองและคู่แข่งเพื่อยกระดับงานโฆษณาให้โดดเด่นและแตกต่างจากเดิมในทุก ๆ ครั้ง เป็นต้น
ด้าน นาย ธีรพงศ์ นภาพฤกษ์ชาติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮานามิ ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวเสริมในฐานะของการเป็นหนึ่งในแบรนด์แรก ๆ ที่ได้ใช้ XSight วิเคราะห์ข้อมูลการทำโฆษณาว่า “ข้อมูลที่ได้จาก XSight ทำให้เราเห็นถึงพฤติกรรมการรับชมของผู้บริโภคว่ามีความสอดคล้องกับสิ่งที่เราตั้งใจจะสื่อสารออกไปหรือไม่ นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำให้การประเมินผลลัพธ์จากการทำโฆษณาตรงจุด และต่อยอดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการทำงานของทีมทั้งการตลาด ครีเอทีฟ หรือแม้แต่ทีมโปรดักชันได้เป็นอย่างดี ทำให้เราเข้าใจและทำงานได้ละเอียดแบบลงลึกได้ดีกว่าเก่า เพราะเดิมเราอาจจะมองยอดวิว ระยะเวลาการชม หรือเอนเกจเมนท์เป็นมาตรวัด แต่ adapter ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า XSight สามารถเติมเต็มช่องว่างที่แบรนด์ยังไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกผู้บริโภคที่มีต่อโฆษณาบนโซเชียลมีเดียได้อย่างไร้รอยต่อ”

นายอรรถวุฒิ กล่าวสรุปในช่วงท้ายว่า “ความท้าทายสูงสุดกับการทำงานโฆษณาในยุคดิจิทัลคือต้องรู้จักและเข้าใจผู้บริโภคให้มากที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเอาเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วย เราเชื่อว่า XSight จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับอุตสาหกรรมโฆษณา ซึ่งจะช่วยทั้งงานโปรดักชันให้สามารถผลิตผลงานให้ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคที่รับชม แบรนด์ที่ต้องการขายสินค้า

และยังช่วยให้สามารถเรียนรู้งานโฆษณาของเราและคู่แข่งเพื่อปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้ตรงเป้าได้อย่างแม่นยำ ในฐานะผู้นำตลาดดิจิทัลเอเจนซี่ เรายังคงมีเป้าหมายการทำงานในการพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญญาให้กับลูกค้าและแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับ

งานโฆษณาให้สอดรับบริบทโลกที่เปลี่ยนไปด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไปจากเดิม และสามารถเสริมสร้างขีดความสามารถสูงสุดให้กับธุรกิจของแบรนด์ในโลกดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์”

อ้างอิง : https://www.springnews.co.th/digital-tech/technology/831747

มาช้าแต่มานะ ! Google เปิดให้ใช้ Imagen AI แปลงข้อความเป็นรูปภาพ

ปัจจุบันยังไม่สามารถคาดหวังให้ฟรีสำหรับทุกคนได้ เพราะว่า Imagen AI ของ Google นั้นจะใช้ได้เฉพาะกับคำขอที่จำกัดผ่านแอป AI Test Kitchen ของ Google

ที่ผ่านมา Google ระมัดระวังอย่างมากในการเปิดตัวระบบ AI แปลงข้อความเป็นรูปภาพ แม้ว่าโมเดล Imagen ของบริษัทจะผลิตผลงานที่มีคุณภาพเท่ากับ DALL-E 2 ของ OpenAI หรือ Stable Diffusion ของ Stability AI แต่ Google ยังไม่ได้เผยแพร่ระบบต่อสาธารณะ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ Google ได้ประกาศว่าจะเพิ่ม Imagen ในรูปแบบที่จำกัดให้ใช้งานในแอป AI Test Kitchen เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเทคโนโลยีก่อนนำไปใช้สาธารณะเต็มรูปแบบ โดยทางแอป AI Test Kitchen ได้เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ เพื่อให้ Google สามารถทดสอบระบบ AI ต่างๆ ได้ในรุ่นเบต้า โดยในระยะสั้นตอนนี้จะมีสองวิธีในการโต้ตอบกับ Imagen ได้แก่ผ่านตัวโปรแกรม “City Dreamer” และ “Wobble” ใน AI Test Kitchen

ใน City Dreamer ผู้ใช้สามารถขอให้โมเดลสร้างองค์ประกอบจากเมืองที่ออกแบบตามธีมที่พวกเขาเลือกได้ เช่น ฟักทอง ผ้าเดนิม หรือสีผสม โดย Imagen จะสร้างสิ่งปลูกสร้างและแปลงตัวอย่างออกมาให้ผู้ใช้งาน โดยการออกแบบทั้งหมดจะปรากฏเป็นแบบจำลองสามมิติที่คล้ายกับที่คุณเห็นในเกมอย่าง SimCity

ใน Wobble ผู้ใช้สามารถสร้างสัตว์ประหลาดตัวน้อย โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าพวกมันจะสร้างมาจากวัสดุอะไร แล้วแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่คุณต้องการ ซึ่งผลลัพธ์ของโมเดลนั้นถูกจำกัดด้วยสุนทรียศาสตร์หรือรูปแบบที่เฉพาะเจาะจงมาก ซึ่งพวกมันจะดูเหมือนเป็นการผสมผสานระหว่างการออกแบบของ Pixar สำหรับ Monsters, Inc. และลักษณะตัวละครใน Spore

อย่างไรก็ตาม คำถามใหญ่คือ Google จะต้องการเผยแพร่โมเดลเหล่านี้สู่สาธารณะในวงกว้างหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะใช้รูปแบบใด โดยคู่แข่งของบริษัทอย่าง OpenAI และ Stability AI ต่างเร่งรีบในการทำตลาดโมเดลข้อความเป็นรูปภาพ ซึ่งเป็นคำถามว่า Google จะรู้สึกว่าระบบของพวกเขาปลอดภัยพอที่จะนำออกมาจาก AI Test Kitchen และเปิดให้บริการแก่ผู้ใช้ทั่วไปได้เมื่อไหร่

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/11/2/23434361/google-text-to-image-ai-model-imagen-test-kitchen-app

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 28 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก