ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายน 2022

APEC 2022 MEA ใช้นวัตกรรมคลื่นเสียง ตรวจสอบระบบไฟฟ้าในงานประชุมเอเปค

การไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA นำนวัตกรรม Acoustic Camera อุปกรณ์ตรวจจับเสียงคลื่นความถี่สูง ใช้ตรวจสอบ Partial discharge จุดบกพร่องของฉนวนไฟฟ้าในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ MEA เพื่อปรับปรุงระบบและเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่จัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง APEC 2022 ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบจุดบกพร่อง ระบบไฟฟ้าของ MEA ยังมีประสิทธิภาพมั่นคงปลอดภัย

สำหรับอุปกรณ์ Acoustic Camera นับเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ MEA นำมาใช้ตรวจสอบความผิดปกติของอุปกรณ์ไฟฟ้าและจุดเสี่ยงต่าง ๆ ด้วยระบบการทำงานของ Sensor วัดเสียงในระยะไกลในระดับคลื่นความถี่ 2 – 65 กิโลเฮิรตซ์ สามารถตรวจสอบจุดบกพร่องของฉนวนไฟฟ้าได้ตั้งแต่ในช่วงความผิดปกติเริ่มต้นที่ยังไม่เกิดความร้อน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ทางกายภาพที่ยังไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า

อีกทั้งยังมีระบบ AI ในการประมวลผลจำแนกประเภทของความผิดปกติ และระดับความรุนแรงเพื่อให้สามารถจัดลำดับการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม โดยที่ผ่านมา MEA ได้ตรวจสอบทั้งในระบบสายส่งไฟฟ้า สายป้อนไฟฟ้า และอุปกรณ์จำหน่ายไฟฟ้าในระดับ 1 kV ขึ้นไป ทำให้ MEA สามารถนำข้อมูลที่ตรวจพบไปวางแผนปรับปรุงอุปกรณ์ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และเสริมความมั่นคงของระบบจำหน่ายไฟฟ้าโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ MEA ยังลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยด้านระบบไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง และพร้อมให้บริการประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง ในสถานที่จัดงานลอยกระทง เพื่อตอกย้ำความมั่นใจความปลอดภัยให้แก่ประชาชน หากประชาชนในพื้นที่ให้บริการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ พบเห็นสายไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าของ MEA ชำรุดอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย หรือต้องการความช่วยเหลือด้านระบบไฟฟ้ารวมถึงขอเลื่อนเครื่องวัด ฯ สามารถแจ้งเหตุได้ที่ MEA Smart Life Application หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/social/129869/

PhotoRoom เปิดตัว Magic Studio ช่วยพ่อค้าแม่ค้าสร้างรูปภาพสินค้าด้วย AI

แอปแต่งรูป PhotoRoom ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Magic Studio ที่ใช้ AI ในการปรับแต่งภาพสินค้าสำหรับผู้ค้าอีคอมเมิร์ซและธุรกิจขนาดเล็ก

ในการใช้ดังกล่าว ผู้ใช้ต้องอัปโหลดรูปภาพสินค้าที่เราถ่ายเข้าไปในระบบและหลังจากนั้นก็เขียนอธิบายถึงสินค้าตัวนั้นแบบสั้นๆ รวมไปถึงอธิบายพื้นหลังหรือฉากที่ต้องการสำหรับสินค้าตัวนั้นให้กับโปรแกรม จากนั้น AI ในโปรแกรมจะทำการลบพื้นหลังออกให้โดยอัตโนมัติและนำสินค้าที่เราถ่ายไปอยู่ในฉากหลังที่เราได้อธิบายไปเบื้องต้น และส่งภาพผ่านอีเมลไปยังผู้ใช้ภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น

ในขณะที่คุณสมบัติการแก้ไข เช่น การลบพื้นหลังอัตโนมัติและเทมเพลตรูปภาพมีให้ใช้งานในแอปพลิเคชันของคู่แข่งอย่าง Canva หรือ Pixelcut แต่ว่าทาง PhotoRoom ได้เร่งกลุ่มเป้าหมายของเขาไปที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ซึ่ง Magic Studio ช่วยให้ฐานลูกค้าเหล่านั้นสร้างภาพที่พร้อมจะใส่ลงในเทมเพลตสำหรับแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น eBay, Shopify และ Etsy ได้อย่างรวดเร็วขึ้น

อย่างไรก็ตามเครื่องมืออย่าง Magic Studio ทำให้เกิดการสนทนาเป็นวงกว้างเกี่ยวกับการใช้ภาพที่สร้างขึ้นโดย AI ในเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและได้รับการวิจารณ์เนื่องจากกลัวว่าเครื่องมือที่ทรงพลังเช่น DALL-E, Midjourney และ Stable Diffusion สามารถใช้แทนของจริงได้ ไม่ว่าปัญหาเหล่านี้จะออกมาเป็นอย่างไรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การใช้การสร้างภาพ AI ในแอปพลิเคชันที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น เช่น Magic Studio ของ PhotoRoom จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการปรับปรุงรูปลักษณ์ของรายการสินค้าของตน

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/11/8/23447102/photoroom-app-magic-studio-ai-image-tool-generation

FINNIX จับมือ ADVANCE.AI ลดความเหลื่อมล้ำให้คนไทยทุกคนขอสินเชื่อได้ ด้วยนวัตกรรมยืนยันตัวตนแบบอิเล็กทรอนิกส์ใน 60 วินาที

มันนิกซ์ บริษัทฟินเทคสตาร์ทอัปร่วมทุนระหว่างประเทศของ SCB X และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน จับมือ ADVANCE.AI ผู้ให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศสิงคโปร์ นำนวัตกรรมพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ภายใน 60 วินาที หวังช่วยลดความเหลื่อมล้ำการเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินและยกระดับประสบการณ์การใช้สินเชื่อดิจิทัลผ่านแอปฟินนิกซ์

นางสาวอาชี โจว ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยมีคนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์การเงิน แต่มีความเข้าใจโลกดิจิทัล กลุ่มคนเหล่านี้มีศักยภาพสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของมันนิกซ์ ดังนั้น บริษัทจึงต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินที่ใช่และถูกต้องสำหรับผู้บริโภค ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นและสะดวกด้วยแอปฟินนิกซ์ (FINNIX) เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน แต่ยังคงรักษาความรวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน มันนิกซ์ได้ร่วมมือกับ ADVANCE.AI ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานการระบุและพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) หรือ Electronic Know Your Customer ที่ทำให้ผู้ขอสินเชื่อยืนยันตัวตนเสร็จได้ภายใน 60 วินาที ด้วยการถ่ายรูปตนเองและบัตรประจำตัวประชาชนด้วยกล้องของสมาร์ทโฟน

“เราอยากให้ลูกค้ามั่นใจว่าข้อมูลที่ให้เรามานั้นปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และบริษัทเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ดังนั้น เทคโนโลยีการบริการยืนยันตัวตนแบบอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้เราให้บริการกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงการเงินได้ โดยเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการใช้เทคโนโลยีชีวมิติ (Biometric Technology) ได้เป็นอย่างดี” นางสาวอาชีกล่าว

“ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากในอุตสาหกรรมฟินเทค สำหรับเราในบทบาทขององค์กร การยืนยันและพิสูจน์ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมั่นใจได้ว่าเรามีเทคโนโลยีที่เหมาะสมจริงๆ และทำให้ลูกค้าไว้วางใจที่จะให้ข้อมูลส่วนตัวกับเราด้วย” นางสาวชลินี บุญส่งทรัพย์ Product Owner บริษัท มันนิกซ์ จำกัด กล่าวเสริม

บริษัท มันนิกซ์ จำกัด (MONIX) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2563 เป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน SCB X และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีน ด้วยการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านผู้ใช้งานของทั้งสองกลุ่มธุรกิจ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบเดิมยังไม่สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชันฟินนิกซ์ (FINNIX)

แอปพลิเคชันฟินนิกซ์เป็นบริการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้บริการสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ผ่านช่องทางดิจิทัล 100% ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่การขอสินเชื่อจนถึงการอนุมัติสินเชื่อและเบิกถอน สร้างโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยที่เคยถูกธนาคารหรือสถาบันการเงินปฏิเสธมาก่อนสามารถสมัครขอสินเชื่อได้อย่างง่ายดายภายใน 5 นาที ปัจจุบันแอปพลิเคชันฟินนิกซ์มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 7.5 ล้านครั้ง และมีคะแนนรีวิวแอปเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 จาก 5 ในกูเกิลเพลย์และแอปเปิลแอปสโตร์ โดยปัจจุบันมียอดปล่อยสินเชื่อไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Macquarie กลุ่มบริษัทการเงินระดับโลกระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรวัยทำงานที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินของธนาคารสูงถึง 63% ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยหรือธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางที่เข้าไม่ถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคาร

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ที่มุ่งส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินที่เท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินในประเทศ เรื่องนี้อยู่จัดอยู่ในเป้าหมายลำดับที่ 8 จาก 17 เป้าหมายขององค์การฯ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทยที่มุ่งพัฒนาให้คนไทยกว่า 30 ล้านคนสามารถเข้าถึงระบบธนาคารและบริการภาคการเงินผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่

นายโมฮัมหมัด ฟูลาดี Regional Head of Customer Value Proposition บริษัท ADVANCE.AI กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจร่วมกับทางมันนิกซ์เป็นอย่างมาก และตระหนักถึงวิธีในการสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่เข้าถึงการบริการทางการเงินของธนาคารในประเทศไทยเพื่อให้ได้รับเครดิตที่ต้องการ ด้วยความก้าวหน้าทางปัญญาประดิษฐ์จะสามารถทำให้การเข้าถึงลูกค้า รวมถึงข้อกำหนดและขั้นตอนในการพิจารณาให้สินเชื่อทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่ยังคงความปลอดภัยให้กับทั้งผู้ใช้งานและสถาบันการเงิน ความท้าทายในตอนนี้สำหรับสถาบันการเงินต่างๆคือ การคิดและตัดสินใจว่าจะสามารถใช้ AI เพื่อสร้างประสบการณ์แบบใหม่ให้กับลูกค้าธนาคารได้อย่างไรในยุคหลังโควิด-19”

อ้างอิง : https://siamrath.co.th/n/397582

ออสเตรเลียใช้ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ สู้ขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่า

นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่า โดยการใช้วิธีการเอกซเรย์แบบ 3 มิติที่สนามบินและที่ทำการไปรษณีย์เพื่อตรวจจับสัตว์ที่ถูกลักลอบนำเข้ามาในกระเป๋าเดินทางหรือในพัสดุไปรษณีย์ จากนั้นอัลกอริทึมจะทำการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรทราบ

เทคโนโลยีนี้ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อระบุรูปร่างของสัตว์ที่ถูกลักลอบขาย

ทั้งนี้ ออสเตรเลียมีพืชและสัตว์ที่หลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดกระบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายอย่างดี

ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า จำนวนสัตว์มีชีวิตที่ถูกยึดโดย Australian Border Force เพิ่มขึ้นสามเท่าตั้งแต่ปี 2017 โดยสัตว์เลื้อยคลานและนกของออสเตรเลียเป็นสัตว์ที่มีมูลค่าสูงในต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน มีการลักลอบนำสายสัตว์พันธุ์แปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นงูและเต่า เข้ามาในประเทศ ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงของการนำมาซึ่งโรคติดต่อและโรคภัยที่อาจคุกคามอุตสาหกรรมการเกษตรและระบบนิเวศพื้นเมืองอันเปราะบางได้

วาเนสซา พิรอตตา (Vanessa Pirotta) นักวิทยาศาสตร์ด้านสัตว์ป่าแห่งมหาวิทยาลัยแมคควารี (Macquarie University) ในนครซิดนีย์ กล่าวว่า “เรากำลังฝึกให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสแกนหาสัตว์ป่าที่ถูกลักลอบค้าขายทั้งทางพัสดุและในกระเป๋าเดินทาง โดยใช้การเอกซเรย์แบบ 3 มิติ ซึ่งในกรณีนี้เป็นการสแกนสัตว์ที่ตายแล้ว จากนั้น ก็จะสร้างห้องสมุดอ้างอิงขึ้นมาเพื่อแสดงรูปภาพสัตว์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถระบุได้ว่า เคยเห็นสัตว์นั้น ๆ มาก่อน

ออสเตรเลียตั้งเป้าที่จะปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพด้วยแผนใหม่ที่ประกาศใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่

เหนือสิ่งอื่นใด แผนดังกล่าวยังรวมไปถึงการเพิ่มสัตว์และพืช 15 ชนิดเข้าไปในรายการสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อันเนื่องมาจากไฟป่า Black Summer ในปี 2019-2020 ตลอดจนการถางป่าด้วย

ทั้งนี้รัฐบาลออสเตรเลียตั้งใจที่จะควบคุมผลกระทบของสัตว์ป่าที่มีความดุร้าย เช่น สุนัขจิ้งจอกและเสือชนิดต่าง ๆ และพืชต่างถิ่นรุกรานที่สร้างความเสียหายให้กับสัตว์ป่าพื้นเมืองอย่างคาดประมาณไม่ได้ โดยดำเนินยุทธศาสตร์ที่รวมความถึง การประกาศพื้นที่เกือบ 1 ใน 2 ของประเทศให้เป็นเขตอนุรักษ์เพื่อการพัฒนาความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะที่ หลาย ๆ ประเทศ เช่น ฝรั่งเศสและอังกฤษ ได้กำหนดเป้าหมายที่คล้ายกันนี้ไว้เช่นกัน

ทันยา พลีเบอร์เซค (Tanya Plibersek) รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมออสเตรเลียซึ่งเคยเอ่ยว่า กลยุทธ์ก่อนหน้านี้ในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพนั้นล้มเหลว กล่าวว่า ออสเตรเลีย เป็น “เมืองหลวงแห่งการสูญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของโลก”

อ้างอิง : https://www.voathai.com/a/artificial-intelligence-is-new-weapon-against-australian-wildlife-smugglers/6778028.html

Nvidia จับมือ Mozilla พัฒนา AI ด้านเสียงพูดแข่งกับ Google และ Meta

ที่งาน Speech AI Summit ของ Nvidia บริษัทได้หารือเกี่ยวกับระบบเสียงพูดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่ ซึ่งพัฒนาผ่านความร่วมมือกับ Mozilla Common Voice โดยระบบนิเวศของมันจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาคลังคำพูดหลายภาษาและแบบจำลองโอเพ่นซอร์สที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ซึ่งทาง Nvidia และ Mozilla Common Voice ตั้งเป้าที่จะเร่งการเติบโตของโมเดลการรู้จำเสียงอัตโนมัติที่ใช้งานได้ในระดับสากลสำหรับผู้พูดภาษาทุกคนทั่วโลก

Nvidia พบว่าผู้ช่วยเสียง (Voice assistant) เช่น Amazon Alexa และ Google Home รองรับภาษาพูดน้อยกว่า 1% ของโลก และเพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะปรับปรุงการรวมภาษาใน AI ของคำพูด และขยายความพร้อมใช้งานของข้อมูลเสียงพูดสำหรับภาษาทั่วโลกและภาษาที่มีข้อมูลน้อย

บริษัทกำลังพัฒนา AI สำหรับการพูดสำหรับกรณีการใช้งานต่างๆ เช่น การรู้จำคำพูดอัตโนมัติ (automatic speech recognition) การแปลคำพูดประดิษฐ์ (artificial speech translation) และการแปลงข้อความเป็นคำพูด (text-to-speech) โดย Nvidia Riva ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Nvidia AI สำหรับการสร้างและปรับใช้ AI แบบเรียลไทม์ที่ปรับแต่งได้อย่างเต็มที่สำหรับแอปพลิเคชัน เช่น ผู้ช่วยเสมือน อวตารดิจิทัล เสียงของแบรนด์ และการถอดความการประชุมทางวิดีโอ ซึ่งแอปพลิเคชันที่พัฒนาผ่าน Riva สามารถนำไปใช้กับทุกประเภทของคลาวด์และศูนย์ข้อมูล

Nvidia เข้าร่วมการแข่งขันที่ทั้ง Meta และ Google ดำเนินการอยู่ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งสองบริษัทได้เปิดตัวโมเดล AI เพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้ที่พูดภาษาต่างๆไม่เหมือนกัน โดยแบบจำลอง Google Translation Hub สามารถแปลเอกสารจำนวนมากเป็นภาษาต่างๆ ได้หลายภาษา และ Google ยังเพิ่งประกาศว่ากำลังสร้างโปรแกรมแปลคำพูดสากล ซึ่งได้รับการฝึกอบรมมากกว่า 400 ภาษา โดยอ้างว่าเป็น “รูปแบบภาษาที่ครอบคลุมมากที่สุดที่เห็นในรูปแบบเสียงพูดในปัจจุบัน” ซึ่งในเวลาเดียวกัน โครงการแปลคำพูดสากล (universal speech translator) ของ Meta AI ได้ช่วยสร้างระบบ AI ที่เปิดใช้งานการแปลคำพูดเป็นคำพูดแบบเรียลไทม์ในทุกภาษา แม้แต่ภาษาที่ถูกใช้สำหรับการพูดแต่ไม่ค่อยได้ถูกใช้ในการเขียน

นอกจากนั้น Siddharth Sharma หัวหน้าฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ AI และการเรียนรู้เชิงลึกที่ Nvidia กล่าวว่า Nvidia มีเป้าหมายที่จะปลูกฝังการพัฒนา AI คำพูดในปัจจุบันรวมไปถึงในอนาคตในกรณีการใช้งาน metaverse แบบเรียลไทม์ด้วย “วันนี้ เราจำกัดให้ให้บริการเฉพาะการแปลจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาหนึ่งเท่านั้น และการแปลเหล่านั้นต้องผ่านแปลข้อความ” “แต่อนาคตสำหรับ metaverse นั้นเราจะมีภาษาต่างๆ มากมาย และทุกคนสามารถแปลกันและกันได้ทันที”

อ้างอิง : https://venturebeat.com/ai/nvidia-enters-the-speech-ai-race-joining-meta-and-google/

ม.มหิดล ย่อโลกการแพทย์แม่นยำสร้างสรรค์ AI ช่วยออกแบบยา “MANORAA”

กว่าจะคิดค้นและผลิตยารักษาโรคแต่ละชนิดต้องใช้เวลากว่าหนึ่งทศวรรษ และต้องอาศัยการลงทุนด้วยทรัพยากรที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่มีโรคอุบัติใหม่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอีกมากมาย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงฤดี ธารรำลึก คณะทำงานประจำศูนย์ปฏิบัติการด้านชีววิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Integrative Computational BioScience Center : ICBS) และอาจารย์ประจำสถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุลมหาวิทยาลัยมหิดล นับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน” ผู้สามารถย่อโลกการแพทย์แม่นยำ สร้างสรรค์ AI ช่วยออกแบบยา “MANORAA” หรือ “มโนรา” ขึ้นเป็นครั้งแรก

การพัฒนาระบบช่วยออกแบบยาสารโมเลกุลเล็ก เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. หม่อมราชวงศ์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ ผู้ก่อตั้งศูนย์ ICBS มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นกลุ่มภารกิจที่รวบรวมนักวิจัยในสาขาต่างๆ ระดับแนวหน้าของมหาวิทยาลัยมหิดลมาร่วมสร้างสรรค์งานวิจัยที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการแพทย์แบบบูรณาการ

กว่าจะมาเป็น AI ช่วยออกแบบยา “MANORAA” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงฤดี ธารรำลึก ได้มีโอกาสร่วมงานกับนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก อาทิ Professor Sir Tom Blundell ผู้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

รวมทั้ง นักวิทยาศาสตร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหิดล อาทิ รองศาสตราจารย์ดร.จิรันดร ยูวะนิยม รองศาสตราจารย์ ดร.วโรดม เจริญสวรรค์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.ดนยา ปโกฏิประภา ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ภูมิ สุขธิติพัฒน์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ร่วมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ลลิตา นฤปิยะกุล ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญสิทธิ์ ยิ้มวาสนา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยมหิดล Dr.Sungsam Gong มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร ดร.รุจ เอกะวิภาต และนักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ฯลฯ

MANORAA Project ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ “Nucleic Acids Research” ครั้งแรกเมื่อ 5 ปีก่อน ต่อมาได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ Structure (Cell Press) ในปี พ.ศ. 2565 นี้

โดยระบบเป็นการใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ในการช่วยออกแบบและประมวลผลเพื่อการศึกษาโครงสร้างโมเลกุลยาในรูปแบบ 3 มิติ เพื่อดูการจับกับโปรตีนเป้าหมายภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะวางรากฐานทฤษฎีที่จะนำไปสู่ผลการรักษาที่ตรงจุดและแม่นยำ ช่วยลดงบประมาณที่จะต้องลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อดูผลการทดสอบกับตัวอย่างจริง อีกทั้งยังสามารถช่วยย่นย่อระยะเวลาในการคิดค้นและผลิตยาได้ ตลอดจนสามารถเชื่อมต่อไปยังแหล่งความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย

ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมีการวางแผนทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรองรับโรคอุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ

MANORAA พร้อมเปิดให้นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่สนใจสามารถเข้าศึกษา และใช้งานระบบเพื่อช่วยในการออกแบบยาด้วย Machine Learning โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ www.manoraa.org

อ้างอิง : https://www.ryt9.com/s/prg/3370807

Beauty Tech จุดเปลี่ยนธุรกิจความงาม

งานเทคโนโลยีงานใหญ่อย่าง Web Summit ที่เพิ่งจัดขึ้นที่กรุงลิสบอน ถือเป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปที่เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพและองค์กรธุรกิจได้มีโอกาสโชว์นวัตกรรมใหม่และพบปะกับนักลงทุนจากทั่วโลก

งานนี้ทำให้เราเห็นภาพทิศทางของเทรนด์เทคโนโลยีว่าจะไปทางไหนและองค์กรขนาดใหญ่กำลังให้ความสนใจกับนวัตกรรมด้านใดบ้าง สำหรับปีนี้ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจก็คือบริษัทเครื่องสำอางระดับโลกอย่าง ลอรีอัล L’Oréal เลือกที่จะมาออกบูธในงานนี้ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบจัดเต็ม

ทั้ง Deep Tech ที่ใช้เทคโนโลยีการตรวจวัดคลื่นสมองเพื่อวัดการตอบสนองของผู้บริโภคต่อกลิ่นของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีบล็อกเชนบนเมตาเวิร์ส เพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนคนใช้งาน NFT และยังเปิดให้สตาร์ทอัพด้าน Climate Tech และ Big Data เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อสร้างระบบนิเวศและเน้นการเป็นผู้นำด้าน Beauty Tech
การขยับตัวของผู้เล่นรายใหญ่ เป็นสัญญาณว่าการแข่งขันในธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมความงามกำลังจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่งบประมาณด้าน R&D เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเน้นไปที่การคิดค้นสูตร การต่อยอดนวัตกรรมด้านการผลิตหรือรูปแบบบรรจุภัณฑ์

ในปัจจุบันการลงทุนด้านนวัตกรรมของธุรกิจความงามจะเน้นไปที่การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น รวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างทั้งในรูปแบบ On-line และ Off-line
ล่าสุดแบรนด์ดังอย่าง Lancôme ก็เพิ่งเปิด Beauty Tech แฟลกชิป สโตร์แห่งแรกในเอเชียที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมกับเปิดตัวเครื่องตรวจสอบสภาพผิวที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง 100% โดยใช้ อัลกอริทึม AI จาก Big Data ที่มีอยู่เพื่อทำให้สามารถวิเคราะห์สภาพผิวได้อย่างถูกต้องแม่นยำที่สุด
เม็ดเงินลงทุนจาก VC ใน Beauty Tech ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกว่า 30% โดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุดคือ AI, AR/VR, และกลุ่มดิจิทัลแพลตฟอร์มที่นำเสนอโซลูชั่น เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ การตรวจสอบสภาพผิว และการให้คำปรึกษาเรื่องการดูแลผิว

Beauty Tech ถือได้ว่าเป็นคลื่นระลอกใหม่ของการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมภายใต้ยุค Industry 4.0 ที่บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมความงามหันมาจับมือกับสตาร์ทอัพสาย AI, Data Analytics, Cloud Computing, IoT และ AR/VR เพื่อทำให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
สตาร์ทอัพด้าน AR/VR หน้าใหม่อย่าง ModiFace และ Perfect Corp จับมือกับ Estee Lauder และ Sephora เพื่อนำเอาประสบการณ์แบบ 3D ขึ้นไปอยู่บนแพลตฟอร์มทั้งบนเว็ปและในร้านค้า สตาร์ทอัพด้านดีพเทคจาก MIT Droplette พัฒนาอุปกรณ์ฉีดเซรั่มลงใต้ผิวแบบไร้เข็ม ที่เพิ่งได้รับเงินลงทุนกว่าสี่ร้อยล้านบาท กำลังมีแผนจับมือกับแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังเพื่อนำเอาเทคโนโลยีแบบไร้เข็มไปต่อยอดผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง นอกเหนือจากความเคลื่อนไหวในฝั่งสตาร์ทอัพ บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Alphabet, Microsoft, และ Amazon ก็กำลังใช้ความได้เปรียบเรื่องฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาสร้างโอกาสในตลาดนี้เช่นกัน

การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะเจาะจงที่ตัวบุคคล (Personalization) คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมความงามและการดูแลผิว เมื่อผู้หญิงไม่มีวันหยุดสวย เทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเกมการแข่งขัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เวที Beauty Tech อาจเป็นโอกาสใหม่และเป็นตลาดบลูโอเชี่ยนที่น่าสนใจสำหรับสตาร์ทอัพดีพเทคสาย AI, IoT และ Hardware.

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/tech/innovation/1036665

Google จับมือ Renault พัฒนารถยนต์อัจฉริยะ (Software-defined Vehicle)

บริษัทจะร่วมมือกันบนแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ ซึ่งรวมถึงการสร้างฝาแฝดดิจิทัล (Digital Twin) เพื่อทดสอบคุณสมบัติ AI ขั้นสูงแบบเสมือนจริง

Google และ Renault Group กำลังขยายความร่วมมือ 4 ปีเพื่อรวมการพัฒนาแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ขั้นสูงสำหรับรถยนต์ในอนาคต “ยานพาหนะที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์” โดยสร้างขึ้นบนระบบปฏิบัติการ Android Automotive ของ Google และส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ของบริษัทเพื่อคำนวณและประมวลผลต่างๆ

ในปี 2018 ทาง Renault ได้ทำข้อตกลงกับ Google โดยเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในวงกว้างระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi ซึ่งรวมกันเป็นกลุ่มยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่การประกาศการร่วมมือในวันนี้เป็นเพียงระหว่าง Google และ Renault เท่านั้นและด้วยเหตุนี้จึงเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นนั้นจะถูกใช้เฉพาะกับสี่แบรนด์ของผู้ผลิตรถยนต์ฝรั่งเศส ได้แก่ Renault, Dacia, Alpine และ Mobilize เท่านั้น

Google และ Renault กล่าวว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง “Digital Twin” หรือสำเนาเสมือนของยานพาหนะที่มีคุณสมบัติปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง “สำหรับการรวมบริการใหม่ ๆ ที่ง่ายขึ้นและต่อเนื่องขึ้น” พวกเขายังอ้างว่าการทำงานร่วมกันในซอฟต์แวร์และทดสอบความสามารถ AI ในการจำลองเสมือนจะช่วยปรับปรุงการทำงานของยานพาหนะผ่านการวินิจฉัยแบบเรียลไทม์ที่ รถจะแจ้งให้คนขับทราบเมื่อจำเป็นต้องบำรุงรักษา นอกจากนี้เจ้าของรถจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมการขับขี่ จุดหมายปลายทางที่ไปบ่อย และสถานที่ชาร์จ EV และสามารถสร้างโมเดลประกันภัยได้โดยใช้ข้อมูลจริงจากตัวรถเอง

Google พยายามเข้าสู่พื้นที่รถยนต์มานานกว่าทศวรรษ แต่ความพยายามของ Google กลับถูกขัดขวางโดยผู้ผลิตรถยนต์ที่กังวลเกี่ยวกับการแข่งขัน แต่บริษัทประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ในการทำให้บริษัทรถยนต์รายใหญ่ๆ ยอมทำตามพวกเขา ซึ่งรวมถึงฟอร์ด GM Volvo Honda และ BMW

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2022/11/8/23445325/google-renault-sdv-ai-digital-twin-android

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 4 – 10 พฤศจิกายน 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก