“เมดิซิซอฟต์” เปิดตัว “อีซี่ เอไอ” ใช้ปัญญาประดิษฐ์คัดเกรดเนื้อหมูทุกสายพันธุ์
เมดิซิซอฟต์ (Medicisoft) ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อใช้ “คัดเกรดเนื้อหมูด้วยเอไอ” ซึ่งนำไปใช้กับหมูได้ทุกสายพันธุ์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทางบริษัทพัฒนาขึ้นเองอย่าง “อีซี่ เอไอ อิมเมจ วิชัน ดิฟฟิเรนชิเอชัน” (EASY AI Image Vision Differentiation)
อีซี่ เอไอ เป็นโซลูชันคัดเกรดเนื้อหมู ซึ่งจะประเมินเกรดเนื้อหมู จากการวิเคราะห์ภาพชิ้นส่วนเนื้อหมูด้วยเอไอแบบเรียลไทม์ หลังจากที่กล้องเอไออัจฉริยะจับภาพได้ในโรงฆ่าสัตว์ ขณะที่ระบบรวบรวมด้วยเอไอทำหน้าที่รวมภาพซากสุกรคุณภาพสูง
เครื่องมือคัดเกรดที่ใช้ก่อนหน้านี้ถ่ายภาพห่างจากซากสุกร 3 เมตร แต่กล้องเอไออัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้ถ่ายภาพห่างจากซากสุกรเพียง 1.5 เมตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมากในแง่พื้นที่ทำงาน ทีมงานของเมดิซิซอฟต์อธิบายว่า เทคโนโลยีดังกล่าวน่าสนใจมากเพราะรองรับการใช้งานได้ทุกที่ในโรงฆ่าสัตว์โดยใช้พื้นที่น้อยลง เทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นด้วยความทุ่มเทของทีมงานมากความสามารถในหลายประเทศ และพัฒนาขึ้นเพื่อบุกตลาดโลก
เทคโนโลยีคัดเกรดเนื้อหมูอีซี่ เอไอ รองรับหมูได้ทุกสายพันธุ์ และได้รับความสนใจในอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี เพราะคัดเกรดได้แม่นยำกว่า 99% กับทุกสายพันธุ์ เทคโนโลยีดังกล่าวลดเวลาในการคัดเกรดได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแต่เดิมต้องให้ผู้ประเมินคุณภาพเนื้อใช้สายตาตนเองในการตรวจสอบ และคาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้กว่า 50% ทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการบำรุงรักษาด้วย
เมดิซิซอฟต์เปิดเผยว่า เทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูง โดยจะมอบเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยให้คนทั่วโลก พร้อมปฏิรูปวงการปศุสัตว์
อีซี่ เอไอ จากเมดิซิซอฟต์ เป็นผู้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในเกาหลี โดยมีทีมงานที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน AI/SW ทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก บริษัทฯ กำลังเปิดรับบุคลากรคนเก่งจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทไอซีทีระดับโลก นอกจากนี้ ทางบริษัทยังสนับสนุนการถ่ายโอนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในสาขาอื่น ๆ ด้วยบริการให้คำปรึกษาและให้ความรู้ด้านการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักอย่างดีในเรื่องนี้คือเทคโนโลยีบริหารจัดการความปลอดภัยด้วยเอไอกับสาธารณูปการ
อ้างอิง : https://www.ryt9.com/s/anpi/3380235
Disney ใช้ AI ช่วยปรับใบหน้าให้ดูแก่หรือเด็กลงได้อย่างสมจริงและง่ายดาย
Disney Research Studios เปิดตัว AI ที่มีชื่อว่า FRAN (ย่อมาจาก Face Re-Aging Network) ช่วยทำให้ใบหน้าของบุคคลหรือนักแสดงมีอายุมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าเดิมได้อย่างแนบเนียน และทำงานอย่างรวดเร็ว ง่ายดายกว่าวิธีอื่นๆ ที่เคยมีมา
FRAN เป็นโครงข่ายประสาทที่ได้รับการฝึกอบรมโดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีใบหน้าสังเคราะห์ ซึ่งมาจากรูปภาพคนจริงหลายพันภาพในช่วงอายุต่างๆ โดยจะแสดงสีหน้า ท่าทาง การจัดแสง และพื้นหลังแบบเดียวกัน FRAN ใช้ข้อมูลรูปภาพจำนวนมากที่บันทึกไว้มาคาดคะเนว่าส่วนไหนของใบหน้าคนจริงจะมีอายุมากขึ้น จากนั้นจึงซ้อนทับรายละเอียดใหม่ เช่น การเพิ่มหรือลบรอยย่นและขากรรไกรลงบนวิดีโอ
Disney Research Studios กล่าวว่า FRAN เป็นวิธีแรกที่ใช้งานได้จริง ทำงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ และพร้อมสำหรับการผลิต เพื่อย้อนอายุใบหน้าบุคคลในวิดีโอ อย่างไรก็ตาม FRAN ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ไม่สามารถใช้กับใบหน้าของเด็กที่อายุยังน้อย รวมถึงไม่สามารถเพิ่มการหงอกของเส้นผม เมื่อทำให้มีอายุมากขึ้น
ชัดเจนว่า FRAN จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการผลิตภาพยนตร์ในอนาคต เนื่องจาก Disney เป็นสตูดิโอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีภาพยนตร์ในจักรวาล Marvel หลายเรื่องที่มีการเพิ่มอายุของนักแสดง โดยเฉพาะ Chris Evans ที่รับบท Steve Rogers ถูกทำให้ดูชราในตอนจบของ Avengers: Endgame รวมไปถึง Michael Douglas ในบท Hank Pym และ Kurt Russell ในบท Ego the Living Planet ก็มีฉากที่ถูกลดอายุให้อยู่ในวัยหนุ่ม
อ้างอิง : https://www.flashfly.net/wp/408570
Facebook Dating กำลังเริ่มสแกนใบหน้าด้วย AI เพื่อยืนยันอายุ
Facebook กำลังทดสอบวิธีให้ผู้ใช้งานยืนยันอายุเมื่อใช้แอปหาคู่ของแพลตฟอร์ม รวมถึงการใช้ AI สแกนใบหน้า
ในบล็อกโพสต์วันนี้ Meta ประกาศว่าจะเริ่มแจ้งให้ผู้ใช้ Facebook Dating ตรวจสอบว่าพวกเขามีอายุมากกว่า 18 ปี หากแพลตฟอร์มสงสัยว่าผู้ใช้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จากนั้นผู้ใช้สามารถยืนยันอายุได้โดยส่งสำเนาบัตรประจำตัวหรืออัปโหลดวิดีโอเซลฟี่ของพวกเขาไปให้กับทางบริษัท ซึ่งฟีเจอร์สแกนใบหน้าเพื่อประเมินอายุของผู้ใช้โดยไม่ต้องระบุตัวตนนั้นทาง Facebook ได้พัฒนาร่วมกับบริษัท Yoti
Meta กล่าวว่าระบบการยืนยันอายุใหม่นี้จะช่วยหยุดไม่ให้เด็กเข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆที่สร้างมาสำหรับผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามตอนนี้นั้นดูเหมือนว่ายังไม่มีข้อกำหนดใดๆ สำหรับผู้ใหญ่ในการยืนยันอายุของพวกเขาสำหรับการออกเดตบน Facebook (เช่น การตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่มีอายุ 45 ปีไม่ได้แสร้งทำเป็นอายุ 18 ปี)
Meta ใช้ Yoti เพื่อวัตถุประสงค์ในการยืนยันอายุอื่น ๆ รวมถึงตรวจสอบผู้ใช้ Instagram ที่พยายามเปลี่ยนวันเกิดให้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปอีกด้วย ทาง Yoti กล่าวว่าระบบมีความแม่นยำมาก โดยระบุว่าอัตราการระบุอายุระหว่าง 13 ถึง 17 ปีอย่างถูกต้องอยู่ที่ 99.65% เช่นเดียวกันกับอายุต่ำกว่า 23 ปี ซึ่ง Meta กล่าวว่าการยืนยันอายุได้แบ่งให้ผู้คน “หลายแสนคน” ได้ใช้แอปเวอร์ชันที่เหมาะสมกับอายุของพวกเขา
อย่างไรก็ตามระบบไม่ได้แม่นยำเท่ากันสำหรับทุกคน โดยข้อมูลของทาง Yoti แสดงให้เห็นว่าความแม่นยำนั้นแย่กว่าสำหรับใบหน้า “ผู้หญิง” และผู้ที่มีผิวคล้ำ ซึ่งนักวิจัยได้ตั้งประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับวิธีที่ซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าและการวิเคราะห์ทำงานแตกต่างกันไปตามอายุ เชื้อชาติ และเพศ
AI จำลองเป็นศิลปินชื่อดัง วาดภาพสะท้อนวิกฤตทางสภาพอากาศ
Ken Bromley Art Supplies ร่วมมือกับ Lacuna 5 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤตทางสภาพอากาศซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน ผ่านพลังแห่งศิลปะที่สร้างสรรค์โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ถูกนำมาสร้างสรรค์ผลงาน โดยได้จินตนาการว่าเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จะวาดภาพวิกฤตด้านสภาพอากาศที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า มลพิษจากพลาสติก และการทำฟาร์มในโรงงาน โดยให้ออกมาในรูปแบบชิ้นงานศิลปะตามสไตล์ของศิลปินคนดัง
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน บรรดาผู้นำทางการเมืองจากทั่วโลกได้หารือกันในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 27 (UN Climate Change Conference of the Parties) หรือ COP27 เพื่อเร่งดำเนินการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยมีหลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศที่ทำลายงานศิลปะที่มีชื่อเสียงเพื่อประท้วงว่า ‘การปกป้องชีวิตสำคัญกว่าการปกป้องงานศิลปะ’ เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ร้านขายอุปกรณ์ศิลปะ เคน บรอมลีย์ (Ken Bromley Art Supplies) ในสหราชอาณาจักร และบริษัทที่ปรึกษาการดิจิทัล ลาคูน่า 5 (Lacuna 5) จึงใช้ประโยชน์จากสื่อศิลปะเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิกฤตด้านสภาพอากาศ และสร้างแรงบันดาลใจให้สาธารณชนทั่วไป
โปรเจกต์นี้ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยจินตนาการว่าศิลปินผู้โด่งดังในอดีตจะวาดภาพวิกฤตสภาพอากาศอย่างไรหากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ในภาพทิวทัศน์ในฝันแบบเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealist Dreamscape Style) ของซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) AI จะเป็นรูปภาพของภูมิประเทศที่รกร้างซึ่งถูกทำลายโดยการตัดไม้ทำลายป่า ในขณะที่ภาพเหมือนของฟรีดา คาห์โล (Frida Kahlo) ถูกรายล้อมไปด้วยกองขยะพลาสติก นอกจากนี้ ยังได้มีการเลียนแบบฝีแปรงแบบอิมเพรสชันนิสต์ (Impressionist) ของโกลด มอแน (Claude Monet) ด้วยเฉดสีพาสเทลอันเงียบสงบของสีม่วงและสีน้ำเงิน ซึ่งแสดงให้เห็นโรงไฟฟ้าที่ปล่อยกลุ่มควันขนาดใหญ่เหนือภูมิทัศน์ธรรมชาติอันงดงาม
ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังได้จำลองเป็นศิลปินชื่อดังอื่น ๆ อย่าง แวน โก๊ะ (Van Gogh) ยาโยอิ คูซามะ (Yayoi Kusama) หรือ โกลด มอแน (Claude Monet) ที่สร้างงานศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งรวมถึงภาพเหมือนของเกรตา ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมวัยรุ่นชาวสวีเดนในรูปแบบงานศิลปะแบบป๊อปอาร์ต (Pop Art Aesthetics) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแอนดี วอร์ฮอล (Andy Warhol)
อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/132375/
ผู้ก่อตั้ง Ethereum กล่าวว่า การแทนที่โปรแกรมเมอร์ด้วย AI ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างห่างไกล
Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum มีข่าวดีสำหรับโปรแกรมเมอร์ที่อาจกังวลว่า พวกเขาอาจถูก AI แทนที่ โดยเขาได้ชั่งน้ำหนักในความสามารถในการเขียนโค้ดของ ChatGPT และกล่าวว่า “ณ จุดนี้ AI ค่อนข้างห่างไกลจากการแทนที่โปรแกรมเมอร์มนุษย์”
Buterin กล่าวว่าเขาได้เปลี่ยน ChatGPT ซึ่งเป็น AI chatbot ที่พัฒนาโดย OpenAI เพื่อดูว่ามันสามารถเขียนโค้ดที่เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ปรากฏว่าผู้คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจในตัว chatbot กันอย่างล้นหลามนับตั้งแต่ผู้สร้าง OpenAI ปล่อยให้ใช้งานฟรี และในขณะนี้ นักพัฒนาก็กำลังสำรวจว่ามนุษย์สามารถพึ่งพามันได้มากน้อยเพียงใด
ในขณะที่ Buterin กล่าวในบล็อกโพสต์ว่า chatbot ตัวใหม่นี้อาจเป็น “ตัวช่วยในการเขียนโปรแกรม” แต่ข้อผิดพลาดหลายอย่างกลับเกิดขึ้นเมื่อนำ chatbot ไปใช้ในการเขียนข้อมูลโค้ดเฉพาะ จนในที่สุด Buterin ก็ได้กล่าวว่า “ณ จุดนี้ AI ค่อนข้างห่างไกลจากการแทนที่โปรแกรมเมอร์มนุษย์”
ChatGPT เป็นปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงประเภทหนึ่งที่ใช้ภาษา natural language ในการประมวลผลเพื่อตอบสนองแบบเรียลไทม์ และในหลายกรณีการใช้งาน ChatGPT ยังสามารถใช้เพื่อค้นหาโค้ดบางอย่างเพื่อช่วยนักพัฒนาในการเขียนแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนรวมไปถึงซอฟต์แวร์ประเภทอื่น ๆ
“ในหลายกรณี มันสามารถเขียนโค้ดที่ค่อนข้างดีและประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับงานทั่วไป” Buterin กล่าว
โดยปกติแล้ว นักพัฒนามักจะใช้เว็บไซต์อย่าง StackOverflow ในการค้นหาโค้ดที่พร้อมใช้งานด้วยตนเอง แต่กระบวนการดังกล่าวอาจต้องใช้เวลา และแม้ว่า ChatGPT อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่ก็เป็นไปได้ว่า ChatGPT อาจการเขียนโค้ดได้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักพัฒนาจะต้องระมัดระวัง
“อย่างที่เคยกล่าวไว้ มันทำให้ผมได้รู้จักกับรูปแบบโค้ดบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และมันก็สามารถเขียน base converter ได้เร็วกว่าที่ผมทำด้วยตนเอง” Buterin กล่าว
นักพัฒนาบล็อกเชนรายอื่นเห็นด้วยกับข้อสรุปของ Buterin “ผมคิดว่า ChatGPT จะมีประโยชน์อย่างแน่นอนในด้านการลดระยะเวลาที่ใช้เพื่อหาโค้ดบน StackOverflow” Rooter ผู้ก่อตั้งโปรโตคอล Solend กล่าวกับทางสื่อ The Block
ขณะเดียวกัน Rooter ก็ได้เตือนถึงความถูกต้องของโค้ดถ้าหากใช้ ChatGPT ในแอปพลิเคชันบล็อกเชน เนื่องจากโค้ดของบล็อกเชนนั้นไม่เปลี่ยนรูป และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลังจากใช้งานจริง ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่นักพัฒนาต้องระมัดระวังอย่างมาก
ชาว Twitter ปิ๊งไอเดีย ! ใช้แชทบอท AI เขียนบอทเทรด เขียนบล็อก และแต่งเพลงเกี่ยวกับ Crypto
ในขณะนี้ชุมชน Crypto ดูเหมือนจะทุ่มความสนใจไปที่ ‘ChatGPT’ AI แชทบอทตัวใหม่ล่าสุดที่พึ่งถูกปล่อยออกมาให้ทดลองใช้กันเมื่อไม่นานมานี้โดยบริษัท OpenAI ซึ่งชาวเน็ตต่างแห่ไปทดลองบอทที่ว่านี้กันอย่างเมามันส์ ในหลากหลายกรณี นับตั้งแต่การนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างบอทเทรด, เขียนบล็อก Crypto หรือแม้กระทั่งแต่งเพลงเกี่ยวกับ Crypto บอทดังกล่าวนี้เป็นบอทที่ OpenAI ระบุว่า สามารถโต้ตอบในรูปแบบของการสนทนาเหมือนแชทพูดคุยกันได้ โดยสามารถตอบคำถามหรือให้ความช่วยเหลือแทบทุกอย่างที่ได้รับคำสั่งจากผู้ใช้งาน ภายใต้ข้อจำกัดบางอย่าง ผู้ใช้งาน Twitter หลายรายได้ทดสอบโพสต์โต้ตอบระหว่าง ChatGPT และแสดงให้เห็นว่าแชทบอทนี้สามารถสร้างฟังกชันเครื่องมือพื้นฐานของการเขียนบอทเทรดโดยใช้ Pine Script ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบนเว็บไซต์ดูกราฟราคายอดนิยมอย่าง TradingView ผู้ใช้งาน Twitter อีกราย ได้สั่งให้บอทสร้าง trading terminal โดยให้บอทแสดงออเดอร์บุ๊คของคู่เงิน Bitcoin และ Tether บนกระดานเทรด Binance โดยใช้ Application Programming Interface (API) นอกจากนี้ทางด้าน Cointelegraph ยังได้ร่วมทดสอบแชทบอท ChatGPT ด้วยเช่นกัน และพบว่าบอทตัวนี้สามารถสร้างตัวอย่างของสัญญา smart contract ขึ้นมาได้ ในขณะที่ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ ค้นพบว่า แชทบอทตัวนี้สามารถตรวจจับและช่วยในการ patching
อ้างอิง : https://th.investing.com/news/cryptocurrency-news/article-96565
Monarch Tractor สตาร์ทอัพในแคลิฟอร์เนียส่งมอบ”รถแทรกเตอร์อัจฉริยะ ไม่ต้องใช้คนขับ”
Monarch Tractor บริษัทรถไถไฟฟ้าอัจฉริยะ กล่าวว่า รถทำฟาร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI คันแรกของบริษัท ซึ่งมีชื่อว่า MK-V กำลังออกจากสายการผลิตแล้ว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกของสตาร์ทอัพในลิเวอร์มอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และใช้แพลตฟอร์ม Jetson edge AI ของ Nvidia เพื่อทำงานด้านการเกษตรโดยมีหรือไม่มีคนขับอยู่หลังพวงมาลัยก็ได้
Praveen Penmetsa CEO ของ Monarch Tractor กล่าว“NVIDIA Jetson ช่วยให้ MK-V สามารถรันแอปพลิเคชัเน AI ตามเวลาจริงที่มีความหน่วงต่ำ ในขณะเดียวกันก็ประหยัดพลังงานเพื่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นและทำให้มีระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานขึ้น”
MK-V แต่ละเครื่องใช้ระบบ Jetson Xavier NX หกตัวที่ช่วยให้นำทางในทุ่งโดยใช้กล้องเพียงอย่างเดียว สภาพแวดล้อมที่มองเห็นจะถูกถ่ายโดยกล้อง 3D สองตัวและกล้องมาตรฐานหกตัวซึ่ง Penmetsa กล่าวว่ามีความสำคัญต่อความปลอดภัยเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางการเกษตรอาจไม่มีสัญญาณ GPS
Nvidia และ Monarch ได้กล่าวว่ารถแทรกเตอร์จะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการเพาะปลูกทุกวันและสามารถประมวลผลข้อมูลจากอุปกรณ์ปัจจุบันและรุ่นต่อไปที่ติดตั้งเซนเซอร์และการถ่ายภาพได้ ข้อมูลนี้สามารถใช้สำหรับการปรับเปลี่ยนการใช้งานตามเวลาจริง การประมาณการผลผลิตระยะยาว ระยะการเจริญเติบโตในปัจจุบัน และตัววัดผลทางสุขภาพพืชอื่นๆ
รถแทรกเตอร์จำนวนมากในทุ่งเกษตรกรรมมีโหมดกึ่งอัตโนมัติแต่ส่วนใหญ่จำเป็นต้องนั่งคนขับ พวกเขายังใช้น้ำมันดีเซลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น MK-V ที่มีการออกแบบด้วยไฟฟ้าเต็มรูปแบบและระบบอัจฉริยะที่สามารถเลือกคนขับได้ จึงอ้างว่าเป็นรุ่นการผลิตรุ่นแรกในประเภทนี้
Monarch Tractor ระดมทุนได้ 61 ล้านดอลลาร์ระหว่างรอบการลงทุน Series B ในปี 2021 และตั้งแต่นั้นมาก็ระดมทุนได้มากกว่า 110 ล้านดอลลาร์ เป็นพันธมิตรกับ Foxconn บริษัทที่ผลิต iPhone ส่วนใหญ่ของ Apple โดยทั้งสองบริษัทร่วมกันสร้าง MK-V ที่โรงงาน GM เดิมใน Lordstown
Adobe Stock อนุญาตให้วางขายรูปที่สร้างด้วย AI แต่ต้องแปะป้าย
Adobe Stock กล่าวในบล็อกโพสต์ว่าจะยอมรับรูปภาพที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ในบริการของพวกเขา
ต่างกับคู่แข่งของ Adobe Stock อย่าง Getty Images ที่ห้ามขายภาพที่สร้างโดย AI บนแพลตฟอร์มของพวกเขา โดย Adobe กำลังจะเปิดรับเนื้อหาที่สร้างด้วยตัวสร้างเช่น DALL-E และ Stable Diffusion ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนข้อความเป็นรูปภาพด้วย AI
“ผู้ใช้งานของ Adobe Stock กำลังใช้เครื่องมือและเทคโนโลยี AI เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุน ขยายความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้” Sarah Casillas ผู้อำนวยการอาวุโสกล่าวในบล็อกโพสต์ Adobe จะยอมรับงานศิลปะที่ทำขึ้นด้วยโปรแกรมดังกล่าวภายใต้เงื่อนไขว่าพวกมันจะต้องถูกโน้ตไว้ว่าภาพนั้นได้ใช้ AI ในการสร้าง
เนื่องจากความเสี่ยงด้านลิขสิทธิ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทาง Getty Images กล่าวในเดือนกันยายนว่าจะไม่ใช้รูปภาพที่สร้างโดย AI ในบริการของตนเอง ในทางกลับกัน Adobe ได้สร้างข้อกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าว โดยผู้สร้างต้องมีสิทธิ์ในทรัพย์สินในงานศิลปะของตนก่อนที่จะส่งผลงานดังกล่าวไปยัง Adobe และต้องอ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขเกี่ยวกับเครื่องมือ AI มากไปกว่านั้นพวกเขาไม่สามารถส่งภาพถ่ายที่มีโลโก้ ตัวละครที่มีชื่อเสียง สถานที่จริง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียง เข้ามายังแพลตฟอร์ม หากปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไข ศิลปินสามารถรับค่าลิขสิทธิ์ผ่านเนื้อหาที่สร้างโดย AI ได้
บริการรูปภาพระบุไว้ในโพสต์ว่าการอัปเดตนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะแทนที่จินตนาการของมนุษย์ด้วย machine learning แต่ AI เป็นเครื่องมือในการ “เพิ่มความคิดสร้างสรรค์” “เร่งกระบวนการสร้างสรรค์” และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผู้สนับสนุน
อ้างอิง : https://www.cnet.com/culture/adobe-stock-to-allow-ai-generated-images-on-its-service/
—————————————————————————————-
ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน 2 – 8 ธันวาคม 2565 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )
หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
: AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand
