ข่าว AI รอบโลก – สัปดาห์ที่ 4 เดือน พฤษภาคม 2023

Facebook เปิดตัวชิป MTIA เพื่อให้ AI ช่วยปรับปรุงการแสดงโฆษณาและเนื้อหาอื่นๆ ในฟีดข่าว แต่ยอมรับยังไม่สามารถทำงานที่ซับซ้อนสูงได้

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา Meta Platforms ออกมาแชร์รายละเอียดใหม่เกี่ยวกับโครงการศูนย์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนงานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงชิป Family แบบกำหนดเองที่กำลังพัฒนาภายในบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram รายนี้ เปิดเผยผ่านบล็อกโพสต์ว่า บริษัทได้ออกแบบชิปรุ่นแรกในปี 2020 โดยเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม Meta Training and Inference Accelerator (MTIA) เป้าหมายคือ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโมเดลรุ่นแนะนำที่ใช้ในการแสดงโฆษณาและเนื้อหาอื่นๆ ในฟีดข่าว

ก่อนหน้านี้สำนักข่าว Reuters รายงานว่า บริษัทไม่ได้วางแผนที่จะใช้ชิปที่มีระบบ AI ซึ่งบริษัทพัฒนาขึ้นมาใช้ตัวแรกนี้ในระดับวงกว้าง และกำลังดำเนินการหาผู้ที่จะมารับช่วงพัฒนาต่อ โดยบล็อกโพสต์ได้แสดงภาพชิป MTIA ตัวแรก ในฐานะโอกาสของการเรียนรู้

นอกจากนี้ Meta อธิบายว่า ชิป MTIA ตัวแรกจะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการ AI ที่เรียกว่าการอนุมานโดยเฉพาะ ซึ่งอัลกอริทึมที่ได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลจำนวนมหาศาลจะตัดสินว่าจะแสดง พูด วิดีโอเต้น หรือมีมแมว เป็นโพสต์ถัดไปในฟีดของผู้ใช้

โจเอล โคเบิร์น วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Meta กล่าวในระหว่างการนำเสนอเกี่ยวกับชิปตัวใหม่ว่า ตอนแรก Meta หันไปใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก หรือ GPU สำหรับงานอนุมาน แต่พบว่าหน่วยประมวลผลดังกล่าวไม่เหมาะกับงานอนุมาน เพราะประสิทธิภาพต่ำสำหรับโมเดลจริง แม้ว่าจะมีการเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์อย่างมีนัยสำคัญก็ตาม แถมยังมีค่าใช้จ่ายสูงในการปรับใช้จริง ทำให้ชิป MTIA เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า

อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Meta ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไทม์ไลน์การปรับใช้ชิปใหม่ และปฏิเสธที่จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการพัฒนาชิปที่มีระบบ AI ฝังอยู่ดังกล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta มีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ เพื่ออัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน AI หลังจากที่ผู้บริหารตระหนักว่ายังขาดฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับความต้องการจากทีมผลิตภัณฑ์ที่สร้างฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงส่งผลให้บริษัทยกเลิกแผนสำหรับการเปิดตัวชิปอนุมานขนาดใหญ่ภายในบริษัท และเริ่มทำงานกับชิปที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้น ซึ่งสามารถดำเนินการฝึกอบรมและการอนุมานได้

บล็อกโพสต์ของ Meta ยอมรับว่าชิป MTIA ตัวแรกยังสะดุดกับโมเดล AI ที่มีความซับซ้อนสูง แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่าชิป MTIA สามารถจัดการโมเดลที่มีความซับซ้อนต่ำและปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าชิปของคู่แข่ง

ขณะเดียวกันชิป MTIA ยังใช้พลังงานเพียง 25 วัตต์ ซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของชิปในตลาดจากซัพพลายเออร์ชั้นนำ เช่น Nvidia Corp ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย และใช้สถาปัตยกรรมชิปแบบ Open-Source ที่เรียกว่า RISC-V

นอกจากเปิดเผยเรื่องชิป MTIA แล้ว Meta ยังให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับแผนการออกแบบศูนย์ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับระบบเครือข่ายและระบบระบายความร้อนที่เน้น AI ที่ทันสมัยมากขึ้น โดยหนึ่งในพนักงานของ Meta กล่าวว่า การออกแบบใหม่จะมีราคาถูกกว่าเดิม 31% และสามารถสร้างได้เร็วกว่าศูนย์ข้อมูลปัจจุบันของบริษัทถึง 2 เท่า

ขณะเดียวกัน Meta ยังเปิดเผยว่า บริษัทมีระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยวิศวกรสร้างรหัสคอมพิวเตอร์ คล้ายกับเครื่องมือที่นำเสนอโดย Microsoft, Amazon.com และ Alphabet

อ้างอิง : https://thestandard.co/meta-announces-mtia/

ผู้นำจี7 เห็นชอบจัดตั้ง ‘กระบวนการฮิโรชิมา’ กำกับดูแล AI โลก

ผู้นำกลุ่มจี7 เห็นชอบกับความจำเป็นในการกำกับดูแลด้านปัญญาประดิษฐ์ (generative AI) โดยแสดงความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่า จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ เพื่อรับประกันการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ และจริยธรรมเพื่อประโยชน์ของสังคม

แถลงการณ์ร่วม ระบุว่า จี7 เห็นชอบในการจัดตั้ง “กระบวนการฮิโรชิมา” (Hiroshima Process) ซึ่งรัฐบาลต่าง ๆ จะจัดการหารือระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับ AI และรายงานผลในช่วงสิ้นปี

เพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนา AI ที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และเชื่อถือได้นั้น นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะของญี่ปุ่น จึงขอความร่วมมือ เพื่อเข้าถึงกระแสข้อมูลข้ามพรมแดนที่ปลอดภัย โดยให้คำมั่นว่า จะให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ความพยายามดังกล่าว

ที่ผ่านมา ผู้นำอุตสาหกรรม และผู้นำรัฐบาลทั่วโลกได้เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบมากขึ้นกับ AI หลังจากที่แชตจีพีที (ChatGPT) ซึ่งเป็น AI ของบริษัทโอเพนเอไอ (OpenAI) แซงหน้าบริษัทอื่น ๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้อย่างรวดเร็ว

การพัฒนาดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความวิตกว่า ความก้าวหน้าของ AI ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบนั้น จะสร้างความเสี่ยง โดย AI สามารถสร้างข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่น่าเชื่อถือ ซึ่งดูเหมือนว่าทำขึ้นโดยมนุษย์ ดังนั้น หากมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในทางที่ผิด อาจเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ และทำให้เกิดความปั่นป่วนทางการเมือง

ด้านนายแซม อัลท์แมน ซีอีโอของโอเพนเอไอ และนางคริสติน่า มอนต์โกเมอรี่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความเป็นส่วนตัวและความน่าเชื่อถือของไอบีเอ็ม ได้เรียกร้องให้วุฒิสมาชิกสหรัฐบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับ AI เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้

อ้างอิง : https://today.line.me/th/v2/article/mWarkYn

SAP และ Google Cloud ขยายความร่วมมือเพื่อสร้างอนาคตของข้อมูลแบบเปิดและ AI สำหรับองค์กร

SAP SE (NYSE: SAP) และ Google Cloud ได้ประกาศการขยายความร่วมมืออย่างกว้างขวาง โดยการเปิดตัวข้อเสนอข้อมูลแบบเปิดที่ครอบคลุม ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนของภูมิทัศน์ข้อมูลและปลดปล่อยพลังของข้อมูลธุรกิจ ข้อเสนอนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างระบบคลาวด์ดาต้าแบบ end-to-end ที่ข้อมูลถูกดึงมาใช้ได้จากทั่วทั้งองค์กร
โดยใช้โซลูชัน SAP® Datasphere ร่วมกับระบบคลาวด์ดาต้าของ Google ดังนั้น ธุรกิจต่างๆ สามารถตรวจดูพื้นที่ข้อมูลทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์ และเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดจากการลงทุนในซอฟต์แวร์ Google Cloud และ SAP ของพวกเขา

ข้อมูลเป็นรากฐานที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ ใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการสร้างศูนย์รวมรวมข้อมูลที่ซับซ้อน เครื่องมือวิเคราะห์แบบกำหนดได้เอง รวมถึง Generative AI และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มตระหนักถึงความคุ้มค่าจากการลงทุนด้านข้อมูลเหล่านั้น

ในขณะที่ข้อมูลที่มาจาก ระบบ SAP โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร และสามารถให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างข้อมูลด้านซัพพลายเชน การพยากรณ์ทางการเงิน การบันทึกทรัพยากรบุคคล ข้อมูลระบบ Omnichannel Retail และอื่น ๆ ได้ โดย SAP Datasphere จะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญต่อภารกิจเหล่านี้ เข้ากับข้อมูลทั่วทั้งองค์กร จากหลากหลายแหล่งที่มา

ซึ่งความสามารถในการรวมข้อมูลทั้งจากซอฟต์แวร์ SAP และที่ไม่ใช่มาจาก SAP (มาจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ) ไว้บน Google Cloud ได้อย่างง่ายดายนั้น ย่อมหมายความว่าองค์กรต่างๆ สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วด้วยรากฐานข้อมูลที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ และยังคงรักษาบริบททางธุรกิจที่ครบถ้วนไว้ได้

Christian Klein ซีอีโอและคณะกรรมการบริหารของ SAP SE กล่าวว่า “การนำระบบและข้อมูลของ SAP มารวมกับข้อมูลในคลาวด์ของ Google ได้นำเสนอโอกาสใหม่สำหรับองค์กรต่างๆ ให้ได้รับคุณค่าที่มากขึ้นจากดาต้าฟุตปริ้นท์ทั้งหมด โดย SAP และ Google Cloud มีความมุ่งมั่นร่วมกันต่อข้อมูลแบบเปิด และการเป็นพันธมิตรของเราก็ได้ขยายออกไปเพื่อช่วยทลายกำแพงกั้นระหว่างข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในระบบ ฐานข้อมูล และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ลูกค้าของเราไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จาก AI ของธุรกิจที่สร้างไว้ในระบบของเราเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์จากรากฐานข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวด้วย”

อ้างอิง : https://www.sanook.com/hitech/1580563/

Apple เปิดรับผู้เชี่ยวชาญ Generative AI เพิ่ม เพื่อเร่งพัฒนา AI ของตัวเอง

แอปเปิลกำลังวางแผนที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญหน้าใหม่ ท่ามกลางข่าวลือว่าบริษัทกำลังเร่งพัฒนางานด้าน AI ของตัวเองอยู่เมื่อไม่นานมานี้
หลังต้องเจอกับช่วงเวลาของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต่างก็เลิกจ้างพนักงาน เว้นแต่ยังมีที่ว่างให้กับคนทำงาน และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อยู่ เพราะกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในตอนนี้

ซึ่งแอปเปิลก็ไม่พลาดที่จะเปิดรับสมัครพนักงานใหม่ในตำแหน่งนี้มากถึง 176 ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับแมชชีนเลิร์นนิง และ AI ด้วย
โดยจะมี 68 ตำแหน่งทำงานเกี่ยวกับ Siri ตามมาด้วย 52 ตำแหน่งที่ทำงานกับ iOS และอีก 46 ตำแหน่งทำงานเกี่ยวข้องกับ macOS ส่วนตำแหน่งอื่น ๆ จะต้องทำงานกับผลิตภัณฑ์มากกว่าหนึ่งรายการ
และมีจะมีการบูมของ ChatGPT ขึ้นสำหรับใช้งานบนไอโฟนก็ตาม แต่แอปเปิลก็มีการสั่งห้ามพนักงานไม่ให้ใช้ยูทิลิตี้ดังกล่าวเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยและทำงานด้วยเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน นี่จึงเป็นสิ่งที่จุดประกายด้าน AI ของตัวเอง ที่สักวันหนึ่งเราอาจจะได้เห็น Siri มีคอนเซปต์คล้าย AI แบบนั้นมากขึ้น

อ้างอิง : https://www.macthai.com/2023/05/23/apple-ramps-up-hiring-of-generative-ai-experts/

ห้องทดลองปัญญาประดิษฐ์ ทำงานทดลองเร็วกว่ามนุษย์ 100 เท่า !

ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทกับมนุษย์ในมากขึ้นในเกือบทุกสาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้กระทั่งอาชีพนักวิจัย โดยห้องทดลองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เอ-แลป (A-Lab)’ ซึ่งควบคุมการทำงานทั้งหมดด้วยหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) มันจึงสามารถทำงานทดลองได้เร็วกว่านักวิจัยที่เป็นมนุษย์ถึง 100 เท่า
สำหรับห้องทดลองดังกล่าวมีพื้นที่ประมาณ 55 ตารางเมตร และมีการติดตั้งแขนหุ่นยนต์จำนวน 3 แขน อยู่ภายใน รวมถึงเตาเผาอีก 8 เตา

โดยแขนหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ชั่งตวงและผสมสารต่าง ๆ เพื่อให้ได้ตัวอย่างของวัสดุใหม่ หลังจากนั้นแขนหุ่นยนต์จะนำตัวอย่างไปให้ความร้อนในเตาเผาที่สามารถทำอุณหภูมิสูงสุดได้ถึง 1,200 องศาเซลเซียส ต่อมาแขนหุ่นยนต์จะนำตัวอย่างออกมาจากเตาเผาเพื่อใส่ในสไลด์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนและรังสีเอกซเรย์ ซึ่งปัญญาประดิษฐ์จะทำการวิเคราะห์ผลที่ได้และทำการทดลองซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ตัวอย่างวัสดุใหม่ที่ต้องการ

เป็นเวลานานมาแล้วที่นักวิจัยด้านวัสดุศาสตร์สามารถคิดค้นสูตรทางเคมีเพื่อสร้างวัสดุใหม่ได้มากมาย แต่ปัญหาคือการทดสอบสูตรเหล่านั้นใช้เวลานาน ในขณะที่เอ-แลปสามารถทำหน้าที่นี้ได้ไวกว่านักวิจัยที่เป็นมนุษย์ประมาณ 50-100 เท่า เนื่องจากเอ-แลปไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหมือนมนุษย์ ส่งผลให้มันสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ซึ่งทำให้นักวิจัยที่เป็นมนุษย์สามารถนำเวลาไปใช้คิดค้นสูตรทางเคมีเพื่อสร้างวัสดุใหม่ ๆ ได้ เป็นเวลานานมาแล้วที่นักวิจัยด้านวัสดุศาสตร์สามารถคิดค้นสูตรทางเคมีเพื่อสร้างวัสดุใหม่ได้มากมาย แต่ปัญหาคือการทดสอบสูตรเหล่านั้นใช้เวลานาน ในขณะที่เอ-แลปสามารถทำหน้าที่นี้ได้ไวกว่านักวิจัยที่เป็นมนุษย์ประมาณ 50-100 เท่า เนื่องจากเอ-แลปไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหมือนมนุษย์ ส่งผลให้มันสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ซึ่งทำให้นักวิจัยที่เป็นมนุษย์สามารถนำเวลาไปใช้คิดค้นสูตรทางเคมีเพื่อสร้างวัสดุใหม่ ๆ ได้

อ้างอิง : https://www.tnnthailand.com/news/tech/146672/

Generative AI ใหม่ของ Google ช่วยผู้ขายรายย่อยปรับแต่งภาพผลิตภัณฑ์ฟรี

Google กำลังเปิดตัว Product Studio ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้ผู้ค้าของ Google Shopping แก้ไขและปรับแต่งรูปภาพสินค้าได้อย่างรวดเร็วและฟรีโดยใช้ generative AI โดย Product Studio และจะเปิดตัวให้กับผู้ขายในสหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

Product Studio ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ขายพัฒนารูปภาพสินค้าและไลฟ์สไตล์ที่ใช้ในรายการอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขาโดดเด่นเหนือผลิตภัณฑ์คู่แข่ง แต่เป็นสิ่งที่อาจใช้เวลานานในการสร้างภาพขึ้นมาหรือต้องใช้การถ่ายภาพที่มีราคาแพง จากข้อมูลของ Google การลงประกาศสินค้าที่มีรูปภาพมากกว่าหนึ่งภาพมักจะได้รับการแสดงผลเพิ่มขึ้น 76 เปอร์เซ็นต์และจำนวนคลิกเพิ่มขึ้น 32 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการลงขายสินค้าที่มีรูปภาพเดียว

ผู้ใช้งานสามารถใช้การพิมพ์ข้อความที่เราต้องการภายใน Product Studio เพื่อปรับภาพผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างพื้นหลังใหม่สำหรับแคมเปญตามฤดูกาล นอกจากนี้ Product Studio ยังช่วยให้ผู้ขายสามารถลบพื้นหลังที่มีอยู่ของรูปภาพได้ทันทีหากต้องการฉากหลังเปล่า และเพิ่มคุณภาพของรูปภาพที่มีขนาดเล็กหรือความละเอียดต่ำได้ด้วย

Google กล่าวว่า Product Studio ถูกสร้างขึ้นสำหรับธุรกิจทุกขนาด แม้ว่ามันอาจจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับผู้ขายอิสระและธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีงบประมาณในการถ่ายภาพอย่างละเอียด นั่นไม่ได้หมายความว่า Product Studio จะไม่ดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถใช้จ่ายมากขึ้นในสื่อการตลาดได้

Product Studio ไม่ใช่แนวคิดใหม่ โดยมีแอปพลิเคชันเดสก์ท็อปและมือถือหลายตัวได้เปิดตัวเครื่องมือที่ใช้ generative AI เพื่อปรับแต่งภาพผลิตภัณฑ์ในแบบของคุณจำนวนมาก เช่น Magic Studio ของ PhotoRoom นอกจากนี้ Meta กำลังทดสอบเครื่องมือสร้าง AI ที่คล้ายคลึงกันสำหรับผู้ลงโฆษณาภายใน AI Sandbox นอกจากนี้แอปพลิเคชันออกแบบกราฟิกจำนวนมาก เช่น Canva และ Adobe Express ได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สำหรับการลบพื้นหลังและสร้างวัตถุ แต่สิ่งที่ Product Studio มอบให้คือความสะดวกสบาย หากคุณใช้ Merchant Center ของ Google อยู่แล้ว คุณก็สามารถเพิ่มสีสันให้รูปภาพได้โดยไม่ต้องข้ามไปมาระหว่างแพลตฟอร์ม

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/5/23/23734129/google-product-studio-generative-ai-ads-merchant-center

Microsoft เปิดตัว “Windows Copilot” ผู้ช่วย AI ส่วนตัว สำหรับ Windows 11

Microsoft กำลังเพิ่มผู้ช่วย Copilot AI ให้กับ Windows 11 เช่นเดียวกับแถบด้านข้าง Copilot ที่เราเคยเห็นใน Edge, แอป Office และแม้แต่ GitHub Windows Copilot จะรวมเข้ากับ Windows 11 โดยตรง และพร้อมเปิดและใช้งานจากแถบงานในทุกส่วนของแอปและโปรแกรม ต่างๆ

Windows Copilot สามารถสรุปเนื้อหาที่คุณกำลังดูในแอป เขียนใหม่ หรือแม้แต่อธิบาย มีลักษณะคล้ายคลึงกับกล่องโต้ตอบที่พบใน Bing Chat ดังนั้นคุณจึงสามารถถามคำถามทั่วไปและสิ่งที่คุณมักจะถามเครื่องมือค้นหาได้

การเข้ามาของ Copilot AI จะไม่แทนที่แถบค้นหาบนทาสก์บาร์ของ Windows 11 โดยตรงแต่จะเป็นปุ่ม Copilot แยกต่างหากข้างๆ แทน เหมือนกับที่ Cortana มีพื้นที่เฉพาะบนทาสก์บาร์ใน Windows 10 ซึ่ง Windows Copilot นั้นทาง Microsoft กล่าวว่ามันจะเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ซึ่งฟังดูเหมือนกับ Cortana ที่ Microsoft ก็เคยกล่าวไปในรูปแบบเดียวกัน

เนื่องจาก Copilot รวมอยู่ใน Windows คุณจึงสามารถทำสิ่งต่างๆ เช่น ขอให้ “ปรับการตั้งค่าของฉันเพื่อให้ฉันมีสมาธิ” หรือดำเนินการอื่นๆ บนพีซี โดยมันเป็นมากกว่าลิงก์ Bing Chat พื้นฐานที่ Microsoft เพิ่มลงในทาสก์บาร์ใน Edge เมื่อต้นปีนี้

Microsoft จะเริ่มทดสอบ Windows Copilot ต่อสาธารณะในเดือนมิถุนายน ก่อนที่จะเปิดตัวในวงกว้างมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ Windows 11

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/5/23/23732454/microsoft-ai-windows-11-copilot-build

เหล่า Big Tech ได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับปัญหาความเป็นส่วนตัวที่เกิดจาก AI

Apple ได้จำกัดการใช้ ChatGPT ของ OpenAI และ Copilot ของ Microsoft ตามรายงานของ The Wall Street Journal นอกจากนั้น ChatGPT อยู่ในรายชื่อแบนมาหลายเดือนแล้ว ทาง Mark Gurman จาก Bloomberg กล่าวเสริม

มันไม่ใช่แค่ Apple เท่านั้น แต่ยังรวมถึง Samsung และ Verizon ในโลกเทคโนโลยีด้วย และยังรวมถึงธนาคารต่างๆ (Bank of America, Citi, Deutsche Bank, Goldman, Wells Fargo และ JPMorgan) โดยสาเหตุของการห้ามใช้นั้นเป็นเพราะความเป็นไปได้ที่ข้อมูลที่เป็นความลับจะหลุดรอดออกไปได้ อย่างไรก็ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของ ChatGPT ระบุอย่างชัดเจนว่าสามารถใช้ข้อความของคุณเพื่อฝึกโมเดลได้ เว้นแต่คุณจะเลือกไม่อนุญาติให้ใช้

หนึ่งในการใช้เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT คือการบริการลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทต่างๆ พยายามลดต้นทุน แต่เพื่อให้การบริการลูกค้าทำงานได้ ลูกค้าต้องให้รายละเอียดซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องส่วนตัว บางครั้งก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงเกิดคำถามว่าบริษัทต่างๆ วางแผนที่จะรักษาความปลอดภัยของบอทบริการลูกค้าของตนอย่างไร?

นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาสำหรับการบริการลูกค้าเท่านั้น สมมติว่า Disney ตัดสินใจให้ AI แทนที่แผนก VFX ของพวกเขาในการเขียนภาพยนตร์ Marvel ซึ่งก็จะเกิดคำถามว่ามีโอกาสที่จะเกิดการสปอยล์ หรือข้อมูลของ Marvel รั่วไหลหรือไม่?

อย่างไรก็ตามความเป็นส่วนตัวและประโยชน์ใช้สอยเป็นสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกันเสมอเมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ในหลายกรณี เช่น Google และ Facebook นั้นผู้ใช้ได้แลกเปลี่ยนความเป็นส่วนตัวกับผลิตภัณฑ์ฟรี หรือ Bard ของ Google ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าข้อความค้นหาจะถูกใช้เพื่อ “ปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิงของ Google”

เป็นไปได้ว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่เชี่ยวชาญและเน้นเรื่องความปลอดภัยในการเก็บความลับเหล่านี้กำลังหวาดระแวง ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะไม่มีอะไรต้องกังวล แต่สมมุติว่าพวกเขาพูดถูก ถ้าเป็นเช่นนั้นความเป็นไปได้สำหรับอนาคตของแชทบอท AI ที่อาจจะเป็นได้ก็อาจจะเป็นการที่บริษัท AI ถูกกดดันให้ยกเครื่องและกำหนดแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยอย่างชัดเจน รวมไปถึงทุกบริษัทที่ต้องการใช้ AI จะต้องสร้างโมเดลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองหรืออย่างน้อยที่สุดเรียกใช้การประมวลผลของตัวเอง ซึ่งมันมีค่าใช้จ่ายที่ราคาแพงและยากที่จะขยายตัวได้

อ้างอิง : https://www.theverge.com/2023/5/19/23730037/openai-ban-apple-banks-privacy

—————————————————————————————-

ทั้งหมดเป็นข่าวที่น่าสนใจใน  19 – 25 พฤษภาคม 2566 พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้านะคะ : )

หากมีข้อสงสัย ติชมสามารถ ติดตามและสอบถามได้ที่
 : AIไทยสามารถ โดย AI for all Thailand



เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึก